วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

“ทำไมเลี้ยงลูกไม่ได้ดี ?” คำถามโลกแตกที่คนถามควร “ตอบ” เอง + “แหง่แดกมือแดกตีน” นิสัยต้องห้าม !!

       ปัญหาวัยรุ่นไทยในขณะนี้นับว่าแย่ลงกว่าในช่วงก่อน ๆ มาก โดยมีปัจจัยหลายประการด้วยกันที่จะประกอบเติมแต่งให้วัยรุ่นประพฤติปฏิบัติ ตนให้เป็นไปตามแบบของตนเอง ผู้ปกครองต่าง ๆ คงจะคิดจนปวดขมองและแก้ไม่เคยตก ซ้ำยังคิดในทำนองตัดพ้อต่อว่าว่าเราเองต้องเป็นฝ่ายรับกับปัญหาบุตรหลานของ ตัวเอง
        นี่ถ้าเป็นเล่นฟุตบอลป่านนี้รับจนโกทะลุไปหลายสนามแล้ว
        ส่วนสังคมก็กระไรเลย พอมีเรื่องเกิดขึ้นมาที ก็เต้นเหย็ง ๆ กันที พอเป็นพิธี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนม ท้อง แท้ง เรยา ละครน้ำเน่า ตู้เกม การพนัน ตีกัน ตบกัน เด็กเกย์ เลสเบี้ยน กระทรวงที่เกี่ยวข้องก็ได้แต่เจ้าเข้า ได้แต่เต้นกันเร่า ๆ จนศาลาว่าการแทบจะพังคาตีน ปลุกกันได้ไม่กี่วันกระแสก็ซา สุดท้ายก็ได้แต่บ่นด้วยอาการเซ็งเป็ดว่า
        “ไอ้เด็กพวกนี้พ่อแม่ไม่สั่งสอน”
        ดราม่ากันทั้งบ้านทั้งเมืองปานแผ่นเสียงตกร่อง นึกไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็น “ไฟไหม้ฟาง” ครั้นจะลองเข้าใจเด็กดูโดยการดัดจริต กระแดะ ทำหน้าเด็ก ทำนิสัยเด็ก กินเด็กสักคนสองคนเพื่อทำวิจัยกับข้อมูล ขอโทษ...
        วัย “ไม่ให้”

        ผมว่าที่ปัญหาวัยรุ่นมันไม่เคยแก้ไขได้สักที มันก็เพราะเวลาที่เราเกิดเรื่องกันที ก็จะแห่ไปมองแต่แง่มุมหนึ่ง โดยที่เราลืมไปว่า มันยังมีอีกหลายแง่มุมที่ทำให้มันเกิด มันเป็น มันมี อย่างเรื่องยาเสพติด ไอ้พวกผู้ค้ารายใหญ่ จับติดคุก จับประหาร ก็แล้วแต่ แต่รายย่อยที่เป็นเด็ก เป็นเยาวชน เราจะเยียวยาเขายังไง ต้องดูปูมหลังด้วยว่าทำไมต้องเลือกทางนี้ ขัดสนอะไรหรือไม่ เขาหาเงินแบบนี้เพื่อส่งตัวเองเรียนหรือเปล่า แล้วคอยช่วยเหลือเขาโดยให้เขาคิดเองว่าเขาจะทำอะไรเพื่อให้ได้เงินโดยสุจริต ไม่ต้องมาทำอะไรสุ่มเสี่ยงแบบนี้ ไม่ใช่เอะอะก็จะส่งสถานพินิจอย่างเดียว
        ไม่งั้นศาลเด็กและเยาวชนจะตั้งขึ้นมาทำไม ?
        ไม่งั้นจะมีบทลดโทษให้กับผู้เยาว์ซึ่งกระทำผิดในประมวลกฎหมายอาญา ตั้งแต่มาตรา 73-76 ไว้ทำไม ?
        ปัญหาที่สำคัญที่สุด ที่เราต้องยอมรับ ก็คือ “ผู้ใหญ่”
        ปัญหาวัยรุ่นต่าง ๆ ต้องยอมรับ (ย้ำว่า ต้องยอมรับ) นั่นคือ ไม่ใช่เฉพาะตัวเด็กเองที่ทำให้เกิดปัญหา จนเราต้องบ่นว่า “นรกส่งมันมาเกิด” เป็นนกแก้วนกขุนทอง แต่ผู้ใหญ่นั้นแหละ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เด็กเป็นไปในทางต่าง ๆ โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมและครอบครัว
        เอาเป็นว่าผู้ใหญ่ “ตัวดี” เลยแหละ !!
        ในสังคมโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนตั้งแต่ขนาดกลางขึ้นไป เป็นไปไม่ได้ที่เราจะต้องไม่พบกับคนจำนวนเยอะแยะ เพื่อน พี่ น้อง มีกิจกรรมมากมายที่ต้องผูกพันกับโรงเรียนทั้งโดยตรงและโดยอ้อม
        ก็จะมีคุณพ่อคุณแม่บางจำพวก ที่เป็นห่วง เอาใจใส่ลูก เอาซะจนเกิดอาการ “หึง” ไม่แพ้กับผู้ชายหึงแฟนตัวเอง อิดออด ไม่ยอมให้ลูกหลานโดยเฉพาะที่เป็นผู้หญิงไปนอกวันเวลาเรียน บางทีต้องไปด้อม ๆ มอง ๆ แถว ๆ ที่ทำกิจกรรม เช่น ค่ายลูกเสือ โรงเรียน หรือตามสถานที่ต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งชี้นำแนะอาชีพให้ ยัดเยียดว่าต้องเรียนหมอ ครู วิศวะ ส่งไปติวกันจนหัวแทบระเบิดตูม กลายเป็นฝรั่งที่โดนเร่งปุ๋ยให้ทันขาย
        “สวย” “กรอบ” ขอโทษ...
        “ไม่หวาน” ครับ !!
        ผมขอยกย่องนับถือคุณพ่อคุณแม่ประเภทนี้ด้วยว่าเป็นผู้รักษาความคิดความเชื่อ ค่านิยมแบบโบราณเก่าแก่ให้ดำรงคงอยู่จนถึงทุกวันนี้...
        ดีไม่ดีอาจจะเอาทองคำเปลวแปะหน้าให้ดูสมกับเป็น “วัตถุโบราณ” เสียด้วยซ้ำไป !!
        น่าจับคนพวกนี้ขึ้นทะเบียน “โบราณวัตถุ” กับกรมศิลปากร !!

        การเลี้ยงลูกแบบห่วงหวงกันมากเกินไปมันมีแต่ผลเสียครับ ผมบอกไว้เลยว่ายังมีพ่อแม่ที่มีทัศนะคับแคบอย่างนี้อยู่ในสังคมไทยเป็นจำนวน มาก ไม่ค่อยจะให้ลูกออกไปไหน รถไม่ค่อยให้ขับขี่ กลัวลูกจะไปซิ่งไปแว้นจนตัวเองต้องเดือดร้อน
        ลูกที่อยู่ในครอบครัวแบบนี้นับว่าเป็นคนที่น่าสงสารมาก เพราะภายใต้การเลี้ยงดูแบบดังกล่าว เขาจะขาดความมั่นใจในตัวเอง พึ่งได้แต่พ่อแม่ วาสนาตามมีตามเกิด บางทีเกิดมาบนกองเงินกองทอง คาบช้อนเงินช้อนทอง “แดก” ข้าว จะเอาอะไรก็มีมาให้ ถูกปลูกฝังให้เป็นคนดี เป็นกุลสตรี รักนวลสงวนตัว อยู่ในคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ยี่สิบสามสิบโหล ประคบประหงมเป็นอย่างดีจนไม่กล้าสู้เผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ จนทำให้ปัญญาทึบ ปัญญาเยาว์ไปครึ่งตัวแล้วละ
        สุดท้าย เด็กเหล่านี้เป็นโรคที่ต้องใช้ศัพท์ภาษาปากว่า “แหง่กินมือกินตีน” หรือง่าย ๆ คือ “เกาะพ่อเกาะแม่แดก” แบบที่จะพบในคุณสมบัติของตัวโกงหรือนางร้ายในละครน้ำเน่าแทบทุกเรื่อง
        เพราะไม่ต้องทำมาหากินอะไร เพียงแค่ใช้มารยาฉอเลาะกระเซาะกระแซะก็หาเงินได้มากมายก่ายกอง
        สิ่งเหล่านี้มันคือการ “ทำลายเด็ก” กันทางอ้อมครับ !!
        โดยเฉพาะลูกสาว ถ้ามาเจอกับพ่อแม่สติวิปลาสจำพวกนี้เข้า โตสักหน่อยไม่พ้นโดนข่มขืนแน่ ๆ ครับ เพราะสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ไม่เอื้อให้เด็กเขากล้าดำเนินชีวิตด้วยตัวเอง กล้าตัดสินใจ แก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง มีทักษะ ไหวพริบในการต่อรองเจรจา คลุกคลีกับสภาพจริงในสังคม
        ผมอยากจะตอกหน้าพวกที่เชื่อกันอยู่ชั่วนาตาปีว่า ที่ทำให้ผู้ชายข่มขืนผู้หญิงนั้นก็เพราะผู้หญิงแต่งตัวโป๊ยั่วยวน ผมขอบอกไว้เลยตรง ๆ ว่า มันไม่เกี่ยวหรอกครับว่าผู้หญิงเขาจะเป็นยังไง จะดีจะเหี้ยยังไง แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ชายลงมือข่มขืนก็คือ
        เขา “หักห้าม” ใจตัวเองไม่ให้ทำไม่ได้ !!
        เพราะฉะนั้นผู้หญิงจะดีจะเหี้ยมันก็ค่า “เท่ากัน” นั่นแหละ

        แต่เท่าที่ดู ๆ มา เราจะพบว่าเหยื่อที่ถูกข่มขืนนั้น จะเป็นเด็กดี เด็กเรียนกันเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนน้อยเท่านั้นคือพวก “แรด-ร่าน -กะหรี่-ดอกทอง” ที่บังเอิญไปแรดใส่ฝูงแร้งแล้วโดนมอมเหล้าแล้วรุมทึ้งกลับมา เพราะผู้หญิงจำพวกหลังนี้ เขาได้สะสมทักษะในการดำเนินชีวิต รู้จักต่อรอง เอาตัวรอด จนรู้ทางหนีทีไล่ในชีวิตได้ ไม่ใช่ว่า “ทำดี” แล้วจะสามารถป้องกันภัยได้ทุกอย่าง
        มัวประพฤติปฏิบัติเป็น “วนิดา” กันจนได้เรื่องได้ราว !!
        คนเป็นแฟนกันแล้วโดน “หลอกฟัน” นั่นแหละ ส่วนใหญ่เป็นเด็ก “ไม่แรด” ครับ พอไม่แรดก็จะหลงเชื่ออะไรง่าย ผู้ชายทำอะไร พูดอะไร เชื่อง่ายไปหมด ให้เปรียบแรง ๆ ว่า แม้ขนาดให้คาบกระดูกหมาแดกก็ยอม พอเชื่อใจ ไว้ใจจนตายใจเรียบร้อย ก็จะเข้าลักษณะ “หลอกเอา” ยอมให้เขาจูงไปบ้านเขา ไปโรงแรม ใช้อุบายไปเอาของ สุดท้าย
        “ไม่รอดสักราย”
        นี่แหละคือ “กรง” และ “มีด” ที่แฝงไว้ในรูปของ “ความหวังดี” ของพ่อแม่ จนทำให้เยาวชนหลายคนต้องเสียผู้เสียคนไป
        จบประเด็นทางการแพทย์ “แหง่กินมือกินตีน”

        การขาดความเข้าใจในการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ คิดว่าลูกคนไหน ๆ ก็เหมือน ๆ กัน เป็นความเข้าใจที่ผิด ขนาดว่ามีบทเลี้ยงลูกสำเร็จรูปที่ออกมาจากกระทรวงวัฒนธรรมที่ให้ปลูกฝังความ เป็นไทย เรียนดนตรีไทย เล่นการละเล่นไทย ใส่เสื้อ ชุดไทย (บังเอิญว่าระบุตรง ๆ ว่าเสื้อลายดอก ซึ่งไม่รู้ว่ามันเป็นไทยตรงไหน อย่างนี้ท้องตลาดทั่วไปก็ซื้อใส่ได้ตอนเล่นน้ำสงกรานต์)
        ผมบอกไว้เลยว่าประเทศไทยมันไม่มีอะไรที่เป็นไทยแท้หรอกครับ มันคือ “ไทย” ที่มาจากการประสมประสานทางวัฒนธรรมหลายวัฒนธรรมด้วยกัน แค่คติทางศาสนาจาก “อินเดีย” ก็จัดไป “เกือบครึ่ง” แล้ว แล้วไหนจะจีน ญี่ปุ่น ฝรั่ง แขก ชวาเอาอีกล่ะ
        แล้วถ้าจะยึดเอาความเป็นไทยแท้อย่างที่คุณเข้าใจกัน งั้นคุณก็ต้องยอมรับว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของเขมร เพราะรูปลักษณะมันไม่ใช่ลักษณะของไทย คุณก็ต้องหันหลังให้กับพันธมิตร สลิ่มที่เฝ้ารอคอยให้ปราสาทเขาพระวิหารหล่นใส่แผ่นดินแถว ๆ ศรีสะเกษ จะได้เป็นของไทยสักที
        เพียงแค่นี้ก็จะหาความ Paradox ได้มากมายเกี่ยวกับ “ความเป็นไทย”
        แล้วถ้าเราจะยึดว่าสิ่งเหล่านี้ (แค่นี้) เป็น “ความ เป็นไทย” ก็จะเป็นการผลักไสให้วัฒนธรรมอื่นที่ไม่ใช่วัฒนธรรมไทย (ทางราชการ-ภาคกลาง) กลายเป็น “วัฒนธรรมชายขอบ” กลายเป็น “ความเป็นอื่น” ตามบัญญัติศัพท์ของ “คำ ผกา”
        เผลอ ๆ “เหน่อสุพรรณ” จะโดนผลักให้เป็น “ชายขอบ” ไปอีกรายก็ได้ เพราะแค่ภาษาจังหวัดใกล้ ๆ กันกับกรุงเทพฯ ยังหาวรรณยุกต์ไทยใส่ไม่ครบเลยด้วยซ้ำ
        ผมลองคิดดูสักทีนะครับ สมมุติว่าจับพลัดจับผลู อยุธยาเสียกรุงแล้วเกิดไปตั้งราชธานีใหม่ที่สุพรรณบุรีจนถึงปัจจุบัน ภาษาราชการก็จะกลายเป็น “ภาษาไทยสุพรรณ”
        แล้วภาษาไทยกรุงเทพฯ ซึ่งเราพูด ๆ กันอยู่ทุกวันนี้ ก็จะกลายเป็น “เหน่อ” ไปก็ได้

        กลับมาสู่การเลี้ยงลูก ที่ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะผมได้รับประสบการณ์โดยตรงและโดยอ้อม ผมไปพบกับเด็ก ๆ มัธยมหลายคนพร้อมกับผู้ปกครอง มีหลายรายที่เจอเตือน สั่งสอน ด่า จนถึงขั้นทะเลาะกัน ลากตัวขึ้นรถกลับบ้านต่อหน้าเพื่อน ๆ ก็มี ก็เพราะเรื่องปกติของวัยรุ่น เช่น ไปพบเพื่อน ทำงานบ้านเพื่อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเป็นปกติของสังคมที่เราจะต้องพบเจอกัน เป็นการเปิดทัศนคติของเราให้กว้างขึ้น
        ผมแอบร้องไห้แทนเด็ก ๆ เหล่านี้ที่พ่อแม่ไม่เปิดโอกาสให้เด็กเขาได้เรียนรู้ชีวิตด้วยตนเอง เพราะสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นพื้นฐานที่อนาคตจะต้องมีต้องเป็น ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่มีมันก็คือการ “ฆ่าเด็ก” ทางอ้อม เพราะเมื่อโตไปเด็กเหล่านี้จะอยู่ในสังคมเสือ สิงห์ กระทิง แรด อย่างลำบาก หรือสุดท้ายก็จะเสียผู้เสียคน โดนหลอกเอา เป็นขี้ยา ทำชั่วเลวนานา อยู่ร่ำไป
        บางทีความเป็นห่วงมากเกินไป มันก็ทำให้เด็กเสียผู้เสียคนได้อีกทางหนึ่งนะครับ
        เห็นพ่อแม่บางคนกรี๊ดกร๊าดพอ ๆ กับเจอตะกวดหรือตัวเหี้ยเข้าบ้านตัวเอง เมื่อไปเห็นลูกตัวเองเข้าพวกกับเพื่อนที่ตัวเองคิดว่า เหี้ย เลว ทำตัวไม่ค่อยดี ไม่ค่อยตั้งใจเรียน ชักคันมือคันตีน คันปาก อยากด่า ๆๆๆๆ ใส่แล้วลากออกมา ด้วยความหึงหวง เทศนาอีกสักชุดจนสะใจ
        ผมว่าแทนที่เด็กเขาจะทำตามสิ่งที่คุณต้องการ เด็กเขาอาจจะไปเป็นตรงข้ามเลยก็ได้
        แต่ถ้าอยากจะให้ลูกเป็นไปในสิ่งที่ต้องการ ผมขอแนะนำให้ส่งลูกคุณไปเกิดเป็นเทวดาครับ อันนั้นน่ะแน่นอนกว่า
        การเลี้ยงลูกให้มีประสิทธิภาพนั้น ไม่ใช่ว่าจะเอาใจกันเกินไป หรือเอาแต่ด่า ๆๆๆๆ กันจนเด็กเกิดอาการ “เก็บกด” มันต้องรู้จักการพอประมาณครับ ต้องเข้าใจอุปนิสัย ธรรมชาติของเด็ก ว่าเขาเป็นอย่างไร แล้วต้องหันมาดูว่าอุปนิสัยของตัวเองเป็นอย่างไร แล้วเราจะปรับให้เข้ากับนิสัยลูกเราอย่างไร ต้องเข้าใจทั้งตัวเราและตัวเขา นี่แหละการเลี้ยงลูกที่ดี ไม่ใช่ประเคนกันจนมี “พระสังกัจจายน์หายใจได้” หรือปล่อยไปตายแหล่มิตายแหล่ หรือวัน ๆ เอาแต่ด่ากันลั่นบ้าน
        ในเรื่องการเลี้ยงลูกนั้น อย่างน้อยก็ต้องใช้หลักธรรมเกี่ยวกับมัชฌิมาปฏิปทายึดไว้ คือ มีความพอดี ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป คือ ไม่สร้างนิสัย “แหง่แดก” กันจนเกินไป หรือไม่สร้างนิสัย “เก็บกด” เพราะอาการด่าแหลกกันจนเกินไป บวกกับความเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นปัจจัยในการเลี้ยงดู ซึ่งถ้าทำเช่นนี้ได้ เราจะประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูก และลูกในอนาคตนั้น จะเป็นพลเมืองของประเทศชาติที่สมบูรณ์แบบ เป็นกำลังในการบำรุงชาติและสังคม ทำให้สังคมก้าวหน้า
        ทุกวันนี้เห็นแต่พ่อแม่ไปเที่ยวร้องแรกแหกกระเชอถามคนอื่นเขาว่าทำไมเลี้ยง ลูกถึงไม่ได้ดี จะเลี้ยงลูกยังไงให้มันได้เรื่องได้ราวเหมือนลูกคนอื่นเขาสักที
        คำถามนี้ ถ้าจะให้ดี เปลี่ยนจากผู้ที่ถามคำถามนี้
        มา “ตอบ” คำถามนี้เองดีกว่าครับ
        เพราะลูกตัวเองแท้ ๆ ถ้าไม่รู้ซึ่งสันดาน กำพืด ว่าเป็นยังไง ก็ไม่รู้ว่าจะไปเร่ถามกับแม่หมอหรือขอทานคนไหนแล้วละครับ !!
        ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ผมไม่บังอาจเขียนกระทบใครหรอกครับ เพียงแต่ว่าใครที่เลี้ยงลูกกันจนผมต้องเอามาอ้างอิงในบทความนี้ ถ้าเดือดเนื้อร้อนใจเพราะผมไปกระตุ้นต่อมความอดทนแตกขึ้นมา ก็กระทบคนนั้นแหละครับ
        สุดท้ายนี้ ผมไม่ได้บังอาจจะสอนใคร เพราะผู้ใหญ่แต่ละคน ผ่านโลกมาเยอะ ผ่านสังคมมาเยอะ แบบว่า...
        จำพวก “ไม้แก่ดัดยาก”
        ผมไม่บังอาจจะสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ และสอนสังฆราชให้อ่านหนังสือหรอกครับ
        เพียงแต่ผมจะขอสอนจระเข้ให้อ่านหนังสือ และสอนสังฆราชให้ว่ายน้ำบ้าง...
        ก็แล้วกัน...!!

14 ธันวาคม 2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น