วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เศษเล็กเศษน้อยแห่ง 'มายาคติ' และ 'ทัศนประหลาด' ที่ถึงขั้น 'อุจาด' ในสังคมไทย

อารัมภบท 
        1.เช็กให้แน่ใจก่อนว่าเรากราบขอขมาผู้ใหญ่ทุกท่าน ทั้งที่ยังเป็น ๆ และสิ้นขีวิตไปแล้วทุกคน ก่อนที่จะเริ่ม “Drama story” เรื่องนี้
        2.ถ้าเห็นว่ามีส่วนแห่งข้อความใด หยาบคาย อ่านแล้วรับไม่ได้ ขอให้ตัดไฟเสียแต่ต้นลมด้วยการ “เลิกอ่าน” ดีกว่าที่จะดันทุรังอ่านต่อไป มิฉะนั้นตา หู คอ จมูก จะลุกเป็นไฟ ต้องเสียเงินหาหมอดูอาการ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ แม้กระทั่งหัวใจวายเฉียบพลันก็เป็นได้
        3.สิ่งที่ท่านจะอ่านต่อไปนี้ เป็นข้อความที่ออกมาจากมันสมองของผู้ที่ “ไม่มีจริต” “ไร้ยางอาย” “ไม่สนใจใคร” ขอเตือนไว้ก่อนว่าถ้ารับได้ อ่านไปเถอะไม่ว่ากัน แต่ถ้ารับไม่ได้ แนะนำให้อ่านข้อ 2.ซ้ำอีกครั้งเพื่อสวัสดิภาพความปลอดภัยของท่าน
        4.วิญญูชน เมื่ออ่านแล้วพึงเข้าใจว่า สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ คือ “มายาคติ” ตามนิยามของ “คำ ผกา” และ “ทัศนอุจาด” ตามนิยามของ “อรรถ บุนนาค” ซึ่งคงจะขอใช้ศัพท์ต่างหน่อยว่า “ทัศนประหลาด” ซึ่งมันอาจจะกลายเป็น “ทัศนอุจาด” ได้ในไม่ช้า

ข้อหนึ่ง 
        เราเห็นเด็กนักเรียนใส่แว่นตาแล้ว เราจะเข้าใจว่า “เขา” และ “เธอ” เหล่านี้เป็น “เด็กเรียน”
        ถ้าอย่างนั้นเราก็จะไปสรรหาแว่นตามาใส่ เพราะเห็นว่าแว่นมักไปวางอยู่บนใบหน้าของคนเก่ง ฉะนั้นจึงเข้าใจว่าแว่นตาทำให้คนเก่ง โดยที่...
        ไม่มองว่าเขาหรือเธอผู้นั้นเก่งมาจากการศึกษาหรือการฝึกฝน
        ไม่ต้องไปคำนึงถึงสมองที่จะต้องได้รับการฝึกฝนอะไรเลย

ข้อสอง
        เราไหว้พระ เคารพพระ ตักบาตร ถวายปัจจัยไทยธรรมให้กับพระโดยคิดว่าถวายพระรูปไหนก็เหมือนกัน ได้บุญเหมือนกัน พระก็เหมือนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรา (จำ) จะต้องเคารพนับถือ ด่าไม่ได้ วิจารณ์ไม่ได้
        มองดูก็เหมือนกับจะสอนเรื่องแนวคิดความเสมอภาค ไม่เลือกแบ่งแยก...
        จนลืมคิดไปว่า ถ้าบังเอิญพระรูปนั้นเป็นผู้ประพฤติผิด เกิดทุศีลขึ้นมา บรรดาเงินรวมถึงปัจจัยไทยธรรมที่ถวายให้ไปนั้น เราจะคิดหรือไม่ว่าบุคคลดังกล่าวจะเอาสิ่งเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์เช่นใด อย่างไร

ข้อสาม
        “บิ๊กคลีนนิ่ง” ในกรุงเทพฯ ที่น้ำแห้งแล้ว จัดกันอึกทึกครึกโครม กระโดดโลกเต้นดีใจจนออกนอกหน้า ประกาศชัยชนะต่อน้ำซึ่งถือว่าเป็นราวกับ “ศัตรู” ของบ้านเมือง จัดแข่งกับจังหวัดอื่นจนน่าหมั่นไส้ และไม่พอ ยังจัดกันข้ามหน้าข้ามตาจังหวัดที่ยังท่วมอยู่อีกต่างหาก
        เช่น อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ที่ตอนนี้ 3 เดือนแล้ว น้ำยังไม่มีทีท่าว่าจะลดเลยแม้แต่น้อย

ข้อสี่
        เวลาหมาถูกรถชน ช้างเหยียบกับระเบิด น้องหมีที่ขั้วโลกกำลังถูกคุกคามจากโลกร้อนจนน้ำแข็งละลาย ส่ำสรรพสัตว์บนโลกกำลังได้รับอันตราย เราก็จะ “เห่อ” กระแส พากันสงสาร จนแห่ส่งเงินส่งความช่วยเหลืออะไรต่อมิอะไรไปให้
        ทว่า น้ำใจไมตรีเช่นนี้ กลับไม่มีเลยสำหรับคนไทยด้วยกันเองที่ถูกกระสุนปืน หรือห่าสไนเปอร์กราดยิงสังหารกลางเมืองหลวงจนประเทศไทยขายหน้าไปทั้งโลก ซ้ำร้าย ได้ยินแต่คำพูดที่ว่า
        “ตายก็ดีแล้ว รกโลก แผ่นดินจะได้สูงขึ้น”
        “ไอ้พวกนี้ไม่มีจิตสำนึกรักสถาบัน ทำเพื่อคน ๆ เดียว” หรือ
        “ไม่น่าเกิดมาเป็นคน” (ถ้าไม่เกิดมาเป็นคน ก็ต้องเป็นสัตว์ซึ่งคนพวกนี้ถ้ายึดนิยามกันแบบซื่อตรงก็ต้องมีน้ำใจสงสารกันอยู่ดี)
        กลายเป็นคนในหลักคติ 4 (ความลำเอียง 4 ประการ) ในข้อของการลำเอียงด้วยความโกรธ ความหลง (โง่) และความกลัว (โทสคติ โมหคติ และภยาคติตามลำดับ)
        แค่นี้ก็โดนไป 3 ประการแล้วพี่น้อง !!

ข้อห้า
        เรา ๆ ผู้ที่ไม่ชอบสีใดสีหนึ่งเป็นที่ยึดถือด้วยเหตุผลว่า “จำเจ” มองนักการเมืองแล้วมักจะบ่นอย่างเหนื่อยหน่ายในเชิงตัดพ้อต่อว่า ว่า
        “นักการเมืองคนไหน พรรคไหนก็เลวเหมือนกัน”
        ทว่า เมื่อได้อ่านข่าวการเมืองอย่างบ่อย ถี่ ติดตามจนแทบจะไม่ต้องทำมาหากินกัน เรากลับเชื่อในความชั่ว ความเลวของฝ่ายหนึ่ง แต่สำหรับกับอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเราชอบ เราคลั่ง เราหลงใหล (ซึ่งถ้าคน ๆ นั้นไม่มีเมียแล้ว ก็คงจะเอามาเป็นผัวไปแล้ว) เรากลับลืม มองไม่เห็นซึ่งความผิด เหมือนกับที่เราเชื่อในภาพรวม หรือไม่ เราอาจจะศรัทธาในคนดี ที่บังเอิญมา “โปรดสัตว์” กันตอนบ้านเมืองลุกเป็นไฟ
        สุดท้าย เรายกบ้านเมืองให้คนพวกนี้ปกครอง สื่อผ่านการถ่ายรูป ดอกไม้ และชุดแต่งงานในวันนั้น
        ไม่เฉลียวคิดกันเลยว่า นี่คือ “Paradox” นี่คือ “ความย้อนแย้ง”
        สิ่งหนึ่งคือ “ความคิดภายนอกใจ” ซึ่งเป็น “การสร้างภาพ” ทว่า...
        อีกสิ่งหนึ่งนั้น คือ “ความคิดภายในใจ” ซึ่งเป็น “ความคิดที่แท้จริง”
        เราพร้อมที่จะลืมความผิดเลวของคนที่เราชอบ คนที่เราคิดว่าดี ให้อภัยกัน ซึ่งตรงกันข้ามกับอีกพวก ที่ต่อให้เอาน้ำตามาล้างเท้า ก็จะไม่ให้อะไรทั้งสิ้น ซ้ำร้ายจะแทงมีดยิงปืนใส่เสียด้วยซ้ำ
        เข้าตำรา...ผิดคนอื่นเห็นเท่าภูเขา ผิดของเราเราเห็นเท่าเส้นขน ตดคนอื่นเหม็นเบื่อเหลือจะทน ตดของตนหอมดีมีสกุล
        ควรที่วิญญูชนทั้งหลายพึงจะมองคนพวกนี้อย่างอเนจอนาถ !!



ข้อหก
        เราคิดว่า ที่การเลือกตั้งมันไม่บริสุทธิ์ โปร่งใส ยุติธรรม ก็เพราะนักการเมืองซื้อเสียงให้กับประชาชน เราจึงเห็นว่าประชาชน เห็นแก่เงินทองต่อหน้ามากกว่าความถูกต้อง มากกว่าจิตสำนึกประชาธิปไตย มากกว่าคนดี (ที่เราหยิบยื่นให้) ต้องการคนที่มีเงิน มีทอง มียศถาบรรดาศักดิ์ มากกว่าคนดีมีคุณธรรม
        สุดท้าย ลงสรุปว่าประชาชน “โง่” และ “ตะกละ”
        แต่หารู้ไม่ว่า พรรคการเมืองบางพรรค นักการเมืองบางคน เราอาจจะชอบ หรือไม่อาจจะ จะ “ชอบ” ไปเลยด้วยซ้ำ เราอาจจะไม่เชื่อ หรือไม่อาจจะ จะ “ไม่เชื่อ” ไปเลยด้วยซ้ำ ว่าพรรคการเมืองที่เราชอบนั้น “ไม่ซื้อเสียง”
        หาไม่ การซื้อเสียงในวงการการเมืองไทย มันไม่ได้มีแค่ที่เราเห็น มันไม่ได้มีแค่ที่ชาวบ้านออกมาฟ้องตามสื่อสารมวลชนต่าง ๆ
        มัน “เนียน” กว่านี้อีกเยอะ แต่เรา “ไม่เห็น”
        กลุ่มธุรกิจต่าง ๆ มีเดิมพันทางผลประโยชน์กับพรรคการเมือง ดีไม่ดี อาจจะเป็นกับพรรคที่ชอบเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่เราอาจจะเรียกเป็นคนละคำ คนละอย่างกันเพื่อให้มันดูดี ไม่น่าเกลียด เช่น “ล็อบบี้” เป็นต้น ผลประโยชน์ที่มีต่อกัน มันใหญ่ มันโตกว่าที่เราคิด โตกว่าที่จะเอามาซื้อเสียงกับชาวบ้านกันดาด ๆ
        บางทีนักการเมืองก็เอาการทำนโยบายมาหาเสียง เมื่อได้เข้ามาทำหน้าที่รัฐบาล ซึ่งบางครั้ง เน้นการหาเสียงมากกว่าการปฏิบัติให้เกิดมรรคผลจริง ชาวบ้านสามารถจับเจตนาออกได้ แต่คนบางคนกำลังเคลิบเคลิ้มกับสิ่งที่เป็นอยู่ อาจจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าที่ทำกันอยู่ มาจากเจตนาที่จะ “สร้างภาพ”
        เนียน ๆ แบบนี้ คนตาถั่วอย่างเรา ๆ คงแยกไม่ออกนะ...
        ห้า ห้า ห้า ตอง ห้า และ ห้า ยกกำลัง ห้า (หัวเราะ)

ข้อเจ็ด
        “คันหู ไม่รู้เป็นอะไร...”
        พอเพลงนี้ออกมาสู่สรรพโสตของท่านผู้ฟัง (โดยเฉพาะท่านผู้ทรงศีลธรรมในบ้านเมือง) ท่านเหล่านี้ก็จะเริ่มคันหูตามน้องจ๊ะ
        ลงเอยด้วยการคันมือ คันตีน คันปาก คันยิก ๆ ทั่วตัว เพื่อที่จะหาประเด็น “จัดหนัก” กับน้องจ๊ะ
        จนเกิดอาการ “กระเด้า” กันระหว่างคน “หัวเก่า” กับ “หัวใหม่” ในทางความคิด
        นางเอกโลกตะลึงอย่าง “เรยา” ซึ่งออกตัวแรงใน “ดอกส้มสีทอง” ก็โดน “จัดแรง” จากเจ๊ ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคเอกชน ไม่แพ้กันกับน้องจ๊ะ โดยเฉพาะศูนย์เฝ้าระวังอะไรทั้งหลายแหล่ ก็จะเล่นเสียให้หมด (ไม่รู้ว่ากลับไปบ้านแล้วจะแย่งรีโมตสามีดูกันแล้วเอาคำพูดมาเป็นไอเดียด่าออกอากาศบ้างหรือเปล่า)
        นายกรัฐมนตรีหญิง ที่บังเอิญ ไปปล่อยกิริยาน้ำตาไหลใส่กล้องของสื่อสารมวลชนเข้า ก็ถูกใคร ๆ สับไกปล่อยห่ากระสุนผรุสวาท ใส่อย่างจัง ๆ นี่ถ้าเป็นทหารหาญก็ควรจะส่งไปภาคใต้
        เพราะ “แม่น” ทุกดอก
        นักวิจารณ์ นักด่า ซึ่งวัน ๆ อาศัยการชอบด่า ชอบวิจารณ์ เป็นชีวิตจิตใจ ก็เลยอาศัยกระแสดังกล่าว เอามาปั่นกระแสให้ตัวเองดัง ให้มันรู้ไปว่า ฉันเป็นผู้รักษาศีลธรรม ประเพณีอันดีงามของไทย เธอจะมาทำอะไรผิดแผกไปจากวัฒนธรรมไทยไม่ได้นะ บลา ๆๆ
        คือ อะไร ๆ ที่คิดว่ามันไม่ดี ก็จะกวาดให้ตกขอบของสังคมไปให้หมด ไม่ชอบกะหรี่ ไม่ชอบขอทาน ก็จะกวาดให้ตกกระดาน กำจัดให้หมดไปโดยที่ไม่มองว่าเป็นเพราะอะไร จะหาทางออกที่ดีกว่าให้กับเขาอย่างไร
        “เลี้ยวขวา” ไปครึ่งตัวแล้ว
        วิญญูชนพึงสมเพชเวทนาบุคคลประเภทนี้ ประเภทที่ต้องขึ้นทะเบียน “วัตถุโบราณ” กับกระทรวงศิลปากร ต้องหาผ้าแพรสามสีความยาวพิเศษมาผูกรอบ ๆ พุงซึ่งต้องกราบถามเจ้าตัวเสียก่อนว่า “อย่างนี้กี่คนโอบ ?” ต้องหาทองคำเปลวมาปิดตามเนื้อตามตัว (โดยเฉพาะปาก ซึ่งตรงนั้นต้องยัดห่าเข้าไปเยอะ ๆ เผื่อจะได้หยุดพูดเสียบ้าง) หานางรำมาถวาย ขับเพลงไทยเดิม โอ้ละหนอดวงกูซวย เอ๊ย ! โอ้ละหนอดวงเดือนเอย กันต่อหน้า จัดหาละครประเภทผู้หญิงดี รักชาติ อยู่ในศีลธรรมที่ดี รักนวลสงวนตัว ให้ท่านเหล่านี้ได้เสวยรสหน้าศาล ประเภท โกโบริกับอังศุมาลิน เป็นต้น
        อยากถามว่า วัฒนธรรมไทยที่เรามีอยู่นี้ มันคือไทยแท้หรือเปล่า ?
        ความกตัญญู ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความซื่อสัตย์ ความอดทน และอะไรต่อมิอะไรความทั้งหลายแหล่ มันคือคุณสมบัติที่ถ้าจะให้คนทั้งโลกทำ ก็ทำได้ หรือไม่หันมองไปข้าง ๆ บ้านเรา ก็มี จนถือว่าเป็นคุณสมบัติเด่นอย่างหนึ่งของประชากรในอาเซียนก็ได้
        แล้วไฉนจะมาโมเมว่าสิ่งดังกล่าวนี้ มันเป็นคุณสมบัติพิเศษของคนไทย ที่ถ้าคนชาติอื่นมาทำแล้ว ก็ถือว่า “เป็นไทย” ไปด้วย เอาเป็นว่า “มีเฉพาะคนไทย” ด้วยเล่า ?
        อีกอย่าง ผู้หญิงก็คือ “คน” ซึ่งก็มีศักดิ์ศรีเท่ากันกับผู้ชาย ทำไมจะต้องหวงห้ามการแสดงออก การปลดปล่อยซึ่งอารมณ์ทางเพศของผู้หญิง โดยประณามว่า น้องจ๊ะทำให้สังคมเสื่อม วัฒนธรรมโทรม ผู้หญิงจะต้องอยู่เฉย ๆ ปักสะดึง ทำครัว รอผู้ชายมาโปรดเป็นผัว แล้วค่อยไปแสดงออกบนเตียง หรือไม่ก็ปล่อยให้ผู้ชายรุกฆาตอย่างเดียว ไม่ร้อง ไม่คราง ไม่กระเส่า ไม่ถือดีบังอาจขย่มเอง
        เรยากลายเป็นผู้หญิงเลว เพราะทำตัวมั่วผู้ชาย เพียงเพื่อหาเงิน คนหันมามองด้วยตาข้างเดียว ด่าเรยา อาจจะแรงกว่าเรยาก็เป็นได้ ทว่า ไม่หันไปมองตัวต้นเหตุของเรื่องนี้ คือ “เจ้าสัว” ที่มีเมียหลายคนเละเทะ ฆ่าเมียก็เคยทำโดยไม่สะทกสะท้าน ขอโทษเถอะ
        ไม่มีใครด่า “เจ้าสัว” เลย
        นายกรัฐมนตรี ถูกสวดเละ ถูกจัดหนัก จัดเต็ม จัดแรง ว่าอีตอแหล สร้างภาพเก่ง ออดอ้อน หาเสียงทุกเม็ด พอ ๆ กับทุกประเด็น ทุกปมที่สามารถขุดโคตรขึ้นมาได้ จนกระทั่งสำเนียงการพูด ภาษาอังกฤษที่ใช้ ไม่เว้นแม้แต่ภาษาไทย ที่นักวิชาการบางคน หาเรื่องพูดว่า “ใช้การไม่ได้พอ ๆ กับภาษาอังกฤษ”
        ถ้าอย่างนั้น ถ้าถือแนวคิดกันอย่างซื่อตรงแล้ว ก็สมควรจะต้องด่า “สุเทพ เทือกสุบรรณ” หรือแม้แต่ “รังสิมา รอดรัศมี” ส.ส.ปากดีปากกล้าจากสมุทรสงครามของพรรคประชาธิปัตย์ด้วย เพราะพูดทีสำเนียงออกมาเลย
        ทีอย่างนี้ละรับได้ แต่พอเป็นพวกตรงข้าม “จัดเต็ม”
        มันคือประเด็นที่ไม่น่าเล่น พอ ๆ กับประเด็นร้องไห้ เพราะเรื่องสำเนียงนั้น ใคร ๆ ก็เป็นได้ มันจะเป็นไทยแท้ไปเสียหมดก็กระไรอยู่ ลองถามเชื้อเราเองดูก่อนว่า ไทยแท้หรือเปล่า
        ถ้าไม่เป็น “ไทยแท้” ก็ควรเลิกด่าสำเนียงการพูดของคนอื่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่ประเด็นทางวัฒนธรรมอย่างดาด ๆ แต่มันเป็นเรื่องการเมืองประสมปนเปเข้าไปก่อน ซึ่งถ้าไม่มีเรื่องการเมือง ก็จะไม่มีแง่ทางวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง
        พูดง่าย ๆ คือ “เสือก” นั่นเอง
        เรื่องร้องไห้ ก็แสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะเป็นผู้หญิงคนนี้ด้วย แค่ไม่มีจริต มีอะไร เป็นอะไร แสดงออกอย่างนั้น เล่นกันตรง ๆ เปิดไพ่หมดหน้าตัก ร้องไห้จริง ไม่มีตอแหล ไม่มีมารยาประเภทสิบเอ็ดนักศึกษาวิชาทหาร
        และไม่มี “ละคร” เช่น ผู้นำในรัฐบาลก่อน ๆ ที่ดูข้างนอกดูท่าว่าจะเป็นคนดี หล่อ เก่ง ใคร ๆ ก็อยากจะเอาไปเป็นผัว (แต่ไม่รับประกันว่าจะเอาเก่งหรือไม่ ไม่ฟันธง)
        “เธอ” ไม่ได้ซ่อนความ “เลือดเย็น” แบบใครบางคน
        เหล่านี้คือความเสมอภาค “ปลอม ๆ” ในสังคมไทย
        ความคิดอัปลักษณ์ สันดานเละเทะโมโนโปรี่
        น่าเกลียด

ข้อแปด
        คำ ๆ หนึ่ง ย่อมให้ความหมายเพียงไม่กี่ความหมาย หรืออาจจะแตกย่อยไปอีกก็คงไม่เกินขีดจำกัดของมัน แต่คำบางคำ เพียงแค่พยางค์เดียว บรรดาความรู้สึก ความนึกคิด และนิยาย ที่เกี่ยวข้องกับคำ ๆ นี้ ก็จะผุดเกิดขึ้นและกว้างขวางไปไกลแบบ “ครอบจักรวาล”
        เผลอพูดคำว่า “แดง” เมื่อไหร่ ก็จะมีความคิดเป็นแสนเป็นล้านพรั่งพรูออกมาจากหัวสมองเล็ก ๆ ของเรา และดันเป็นไปในทางลบเสียทั้งสิ้น
        ล้มเจ้า หมิ่นสถาบัน ไม่รักชาติ ทำเพื่อคน ๆ เดียว โกงกิน ขายชาติ คนเป็นเสื้อแดง โง่ ขายเสียง บ้านนอก (อาจจะเรียกโดยใช้ภาษาของเดี่ยวเก้าว่า “เซาะกราว”) รับเงินมาชุมนุม วัน ๆ ไม่ทำมาหาแดกอะไร ถูกปั่นหัว ถูกล้างสมอง จำเป็นต้องมีผู้ทรงภูมิ มีศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรม มาทำประเภทที่เรียกว่า “โปรดสัตว์” ให้ชาวบ้านสามารถรู้แจ้ง เป็นพุทธะ โบยบินออกจากความโง่เขลาซึ่ง “ผี” ตัวหนึ่งปลุกปั้นไว้ให้ ลบเลือนซึ่งอุดมการณ์บ้าบอคอแตก ประชาธิปไตยประเภทอะไร ถามหาจุดยืนเกี่ยวกับระบอบการปกครองจากปากของชาวบ้าน สมน้ำหน้า เหยียบซ้ำ “อากง” “ดา ตอร์ปิโด” ที่อยู่ในคุก หรือไม่ก็กระทืบคนนอกคุกเล่น อย่าง “สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล” “นิธิ เอียวศรีวงศ์” “จักรภพ เพ็ญแข” “จรัล ดิษฐาอภิชัย” “ธิดา ถาวรเศรษฐ” “วรเจตน์ ภาคีรัตน์” ความคิดของคนเหล่านี้ ถูกบดขยี้จนเลยเถิดไปสู่เรื่องส่วนตัว และกระทั่งปั้น “ละครน้ำเน่า” ขึ้นมาอธิบายความเลวระยำของคนพวกนี้ว่า จะเอาระบอบใหม่มาสิงสถิตในประเทศไทย
        ยังไม่ได้พูดถึง “เนื้อหา” เสียด้วยซ้ำ
        “วรเจตน์ ภาคีรัตน์” ถึงกับกล่าวด้วยความรำคาญกลางเวทีนิติราษฎร์ในกรณีของอดีตนายกฯ โดยสรุปว่า “ถ้าท้าตีท้าต่อยกันเหมือนเด็ก ๆ แบบนี้ บอกว่าให้ผมต้องลาออกจากนักวิชาการ งั้นท่านก็ต้องลาออกจากนักการเมืองสิ แล้วกลับไปเรียนหนังสือ แล้วเรียนให้เข้าใจ ให้รู้เรื่อง พอท่านเรียนรู้เรื่องแล้วค่อยมาเถียงกับผม ท่านไม่รู้แล้วมาเถียงกับผมได้ยังไง ไม่เข้าใจ”
        “วรเจตน์ ภาคีรัตน์” ไม่ได้เลวถึงขนาดล้มบ้านล้มเมือง เปลี่ยนระบอบ ก็แค่ “ไม่มีจริต” พอ ๆ กับนายกฯ หญิง
        ว่าแต่พวกที่ไม่มีข้อมูล ไม่ดูเนื้อหา ไม่เห็นที่มา ก็สามารถด่าฝ่ายตรงข้ามได้โดยที่มีคนยอมรับและเชื่อตาม
        อันนี้คือการ “ขายตัว” ทางความคิดหรือเปล่า ?!
        “ผี” ตนนี้ กำลังจะถูกไล่ให้ไปเคียงคู่กับ “ผี” อีกตนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้เป็นผีจริง ๆ ชื่อของผีตนนี้อยู่แถว ๆ ใต้ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ซึ่งถูกใส่ร้ายในโรงหนังเฉลิมกรุงในประเด็นคอขาดบาดตาย จนต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศจนสิ้นอายุขัย
        “ผี” ตนนี้ กำลังจะกลายเป็น “ผี” ตนที่สอง !!
        และถ้าบ้านเมืองยังเป็นอย่างนี้อยู่ ก็ “แนวโน้มสูง”
        ที่ “ผี” ตนนี้จะได้เป็น “ผีจริง ๆ”

ข้อต่อไป
        ...................................

ข้อสุดท้าย
        คนที่ (บังเอิญ) คิดต่าง และมา (บังเอิญ) คิดต่างในสังคมไทย (เสียด้วย) แม้จะเป็นเรื่องเดียวหรือเรื่องเล็ก ๆ ก็ตาม ก็อาจจะถูกเข้าใจได้โดยปริยายว่าเป็นคน “เลว” ครอบจักรวาล เป็นต้นว่า “ล้มเจ้า”
        และ อื่น ๆ เป็นต้น

17 ธันวาคม 2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น