วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554

“ประชาธิปัตย์” อย่าลาม “ทะเลาะกับเพื่อนบ้าน” + อยากดังต้อง “สร้างสรรค์” ไม่ใช่ “เรียกตีน”

       ในช่วงไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่าเรามีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายทั้งในประเทศไทยของเราและในต่างประเทศ ซึ่งบางอย่างก็ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์และความทรงจำที่หาย้อนคืนไม่ได้อีก แล้ว
        ข่าวหนึ่งก็คือ การถึงแก่อสัญกรรมของประธานาธิบดี “คิม จอง อิล” แห่งเกาหลีเหนือ ซึ่งนำพาประเทศขับเคลื่อนไปในระบอบการเมืองแบบสังคมนิยมมากว่าหลายสิบปี เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแล้ว ประเทศก็คงจะได้ผู้นำคนใหม่ ซึ่งในหมู่ญาติของผู้วายชนม์คงจะคัดสรรกันขึ้นมาและเรา ๆ ก็หวังว่าจะมีการเปิดประเทศให้เป็นแบบเสรีนิยมมากขึ้น
        ในประเทศไทยเราก็มีหลายข่าวเช่นกัน ซึ่งข่าวใหญ่ ๆ ในรอบสัปดาห์นี้จะเป็นข่าวที่เกี่ยวโยงกับต่างประเทศ จะมีข่าวอื่นเล็ดลอดออกมาบ้างก็เป็นคดี “อากง” ซึ่งตอนนี้ก็ถูกขังคุกไปเรียบร้อยแล้ว
        เรียกว่าโดนเลขอาถรรพ์ “112” พิฆาตไปอีกหนึ่งคน

        เมื่อไม่กี่วันมานี้ นายกรัฐมนตรีของไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เดินทางไปเยือนประเทศพม่าเพื่อกระชับสัมพันธไมตรีกับผู้นำทหารและรัฐบาล รวมทั้งเดินทางไปพบกับนางอองซาน ซูจี ซึ่งถือว่าเป็นผู้หญิงที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน 30-40 ปี ในฐานะที่เป็นสตรีเพศด้วยกัน
        เราได้เห็นความคาดหวังของประชาคมโลก รวมทั้งประเทศไทย ที่จะให้พม่ามีความเป็นประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ อำนาจของประชาชนมากขึ้น ซึ่งทุกอย่างกำลังจะเป็นไปในทางที่ดี อีกทั้งกลุ่มอำนาจทหารก็มีการเปิดกว้างมากขึ้นในการที่จะให้ทุกส่วนทุกฝ่าย ได้ใช้อำนาจอธิปไตยของตนได้เท่าเทียมและเต็มที่
        สำหรับพม่า ก็เช่นกัน นางอองซาน ซูจี ก็ได้แสดงความหวังว่าประเทศไทยก็จะเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เช่นกัน
        ท่ามกลางมิตรประเทศที่ได้สนทนาประสามิตรกัน ดำเนินวิธีการทางการทูตไปได้ด้วยดี ก็จะพบปฏิกิริยาแปลกประหลาดจากคนบางกลุ่ม และบางกลุ่มในที่นี้ก็เป็น “กลุ่มเดิม ๆ” ตามการคาดการณ์ของใคร ๆ ที่จะคาดการณ์กันอีกเสียด้วย
        แน่นอน “พรรคประชาธิปัตย์”
        จะไม่ให้คิดแบบนั้นก็คงยาก แต่ก็ต้องคิดเพราะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
        คนในพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มไม่มีอะไรจะเล่นเป็นชิ้นเป็นอันกันแล้ว ตั้งแต่ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พาสปอร์ต ซึ่งมีคำตอบโดยชัดเจนและตีหน้ากลับมาจนคนพวกนี้หงายเก๋งไปตาม ๆ กัน แต่ก็ยังไม่เลิกที่จะหาประเด็นหยุมหยิมแบบ “ไม่เล่นก็ไม่รู้จะทำอะไรกิน” กันแล้ว ก็เลยหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาเล่น แถมประเด็นนี้เป็นประเด็น “ต่างประเทศ” เอาเสียด้วย
        บรรดาคนพลพรรคประชาธิปัตย์นั้น ออกมาโจมตีนายกรัฐมนตรีว่า ที่สามารถเดินไปกระชับความสัมพันธ์กับพม่าได้ ก็เพราะอาศัยความสัมพันธ์ของ “ทักษิณ” ซึ่งเป็นพี่ชาย กับพม่า
        คือ ผมเข้าใจว่าการออกมาเคลื่อนไหวของบรรดาคนพลพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงนี้ คงจะมี “บุคคลาธิษฐาน” ยืนตั้งตระหง่านมาแล้ว ถ้าเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับคน ๆ นี้หรือพอจะเกี่ยวข้อง ก็จะเล่นดะไปเสียหมด
        ก็เพราะเหตุนี้เอง เรื่องต่าง ๆ จึงถูกตีกลับด้วยข้อเท็จจริง จากหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งบางทีก็ไม่ใช่ขุมข่ายของรัฐบาลเอาเลย สุดท้ายก็จะโดนคนพวกนี้เหวี่ยงแหใส่ไปด้วยว่า “เป็นพวกทักษิณ”
        ผมบอกไว้เลยนะครับว่า วันนี้พรรคประชาธิปัตย์เสียเพื่อนไปหลายคนแล้ว เพราะการพูด การวิจารณ์แบบไม่ระวังปากแบบนี้ ปากหาเรื่อง ปากพาไป ปากจัด ปากหมา สารพัดปากที่อยู่ข้างในพรรค แถมนิสัยก็ไม่มีดีอะไร มีแต่นิสัยที่แม้ขนาดคนกันเองอย่างพันธมิตรก็หันหลังให้ และตั้งตัวเป็นศัตรู จนคนเสื้อแดงหลายคนยังพูดออกมาว่า
        “เห็นเพื่อนแฉกันเองขนาดนั้นเราก็พลอยจะมีความรู้ไปด้วย”
        คือ ในประเด็นพม่า มันไม่มีอะไรที่จะต้องมาเล่นกันเลย การไปกระชับความสัมพันธ์กันมันก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำกัน มิใช่หรือ ? แล้วถ้ามันจะเป็นด้วยความสัมพันธ์ของทักษิณ ซี้ย่ำปึ้กกันกับบรรดาทหารที่กำลังปกครองกันอยู่ในประเทศพม่า แล้วมันจะผิดอะไร ?
        แล้วทีตัวเองล่ะครับ บริหารประเทศกันแบบที่เพื่อนบ้านเองยังเอือมระอา ไปเรียกร้องแรกแหกกระเชอว่าประเทศพม่าควรเป็นประชาธิปไตยสักที โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองบริหารประเทศแบบไหน อย่างไร
        คือ บริหารประเทศจนประเทศเผด็จการด้วยกันยังไม่อยากจะคบเลย จนเขาปิดประเทศไม่ให้คนพวกนี้เข้า
        น่าขำ หรือ น่าสมเพช หรือ น่าจะเป็นอะไรก็ลองเป็นกันเอาเอง
        แต่ที่รู้ ๆ คนพวกนี้
        “หน้าแตก”

        ผมเห็นความย้อนแย้งอยู่ประการหนึ่งสำหรับการบริหารประเทศในรัฐบาลก่อน คือ หาว่ากัมพูชามาแทรกแซง หรือ เสือกกิจการภายในของประเทศไทยอยู่หลายประการ ถึงกับด่าผู้นำหรือบุคคลในระดับสูงกันเลยทีเดียว
        “กุ๊ย” ยังเป็นรอยด่างให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบางคนอยู่จนถึงทุกวันนี้
        ในฉากหนึ่ง คนพวกนี้เรียกร้องไม่ให้กัมพูชาเข้ามาเสือกเรื่องของบ้านเรา แต่ในอีกฉากหนึ่ง คนพวกนี้เอง กลับไป “เสือก” แบบ “เนียน ๆ” กับพม่า โดยฉาบคำอ้างว่า “หวังดี” ว่าอยากเห็นพม่าเป็นประชาธิปไตย ไปด่ารัฐบาลทหารเลอะเทอะเปรอะเปื้อน
        ก็อย่างนี้แหละถึงปิดประเทศไม่ให้คนพวกนี้เข้า
        สะใจ

        เรื่องด้านต่างประเทศอีกเรื่องหนึ่งที่ถือว่าแสดงภูมิปัญญาของพลพรรคประชา ธิปัตย์อย่างชัดเจน นั่นก็คือ เรื่องที่อากาศยานของกองทัพบกไทย เสียกะทันหัน แล้วเผลอไปรุกล้ำในดินแดนกัมพูชาเข้า จึงถูกอาวุธของทหารกัมพูชาตอบโต้ ในเขต อ.คลองใหญ่ จ.ตราด เมื่ออาทิตย์ก่อน เป็นเรื่องใหญ่ของทั้งสองประเทศ
        ในเรื่องนี้มีการพูดคุยกันในระดับทวิภาคีของตัวแทนทหารของทั้งสองฝ่าย ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และมีความตกลงกันที่ให้ทหารของทั้งสองประเทศทำงานของตนด้วยการถ้อยทีถ้อย อาศัยกัน และจะร่วมกันระแวดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก
        กล่าวคือ เรื่องดังกล่าวยุติลงแล้ว
        ทว่า ก็มีบรรดาคนพลพรรคประชาธิปัตย์ (เช่นเคย) แทนที่จะปล่อยเรื่องนี้ไปเพราะว่าได้ข้อยุติแล้ว กลับทำตัวเป็นพวก “ไม่จบ” แบบไม่จบไม่สิ้น แถลงข่าวเรียกร้องให้
มีการทำหนังสือประท้วงไปยังกัมพูชาว่าเราไม่ยอมให้เกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้น
        ผมมองดูแล้วก็สมเพชนิด ๆ พลางถามว่า
        “ก็เขาจบไปแล้ว คุณจะเอาอะไรกับเขานักหนา ทำตัวไม่จบไม่สิ้นซักที”
        กัมพูชา เป็น “ศัตรูร้ายกาจ” ของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะฮุน เซน อันเป็นนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ดันมีเพื่อนชื่อ “ทักษิณ”
        นั่นไง เพราะ “ทักษิณ” คนเดียว ก็สามารถปั้นเรื่องได้ทุกเรื่องแบบครอบจักรวาล นึกเรื่องอะไร ก็โดนถึง “ทักษิณ” หมด

        ผมเชื่อว่าคนที่ทำงานเกี่ยวกับต่างประเทศหรือชาวต่างชาติคงจะมีทีท่าเอือม ระอากับบรรดาคนพลพรรคประชาธิปัตย์กันโดยไม่ต้องคาดเดาอะไรมากมาย เพราะเมื่อเป็นรัฐบาล ก็มีท่าทีที่ไม่เป็นมิตรกับต่างประเทศ ชวนทะเลาะกันไปทั่ว แถมเป็นเพราะ “ทักษิณ” อีกเช่นเคย
        ทักษิณไปประเทศไหน ก็จะตามล่าไปทั่ว ได้แต่ปากแบะ ๆ ขู่ทูตประเทศโน้นทีประเทศนี้ที สุดท้ายก็ไม่ได้ผล เพราะต่างประเทศเขารู้เช่นเห็นชาติ
        ด้วยการ “ส่ายหน้า”
        เพราะเป็นเรื่อง “ไร้สาระ” ที่สุด
        เอาแค่เพื่อนบ้าน 4 ประเทศ ยังไม่มีปัญญาสร้างสัมพันธไมตรีเลย แล้วจะไปหวังอะไรกับประเทศไกล ๆ ที่จำเป็นจะต้องทำการทูตเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สร้างสันติภาพโลก ต่อรองผลประโยชน์กับมหาอำนาจ ได้ล่ะครับ ?
        ทะเลาะดะแม่งทุกประเทศ พม่า กัมพูชา มาเลเซียก็เรื่องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่บอกว่านโยบายดับไฟใต้ที่ทำได้ทันทีและจะลดได้จริง เท่าที่เห็นมันลดเพราะบรรดาสำนักข่าวเชลียร์เชียร์แหลกลดข่าว ไม่ตามข่าวจนรัฐบาลหน้าบาน แต่ความจริงมันยังยิงมันยังทิ้งตูมกันทุกวัน คนไทยพุทธไทยมุสลิมยังตายห่ากันทุกวัน
        ขนาดลาวที่เราเป็นเพื่อนทางภาษากันนั้น ยังกินแหนงแคลงใจกันเลย จนพอเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ได้รัฐบาลประชาชน ก็เริ่มที่จะฟื้นคืนความสัมพันธ์ ที่ถูกทำลายไปตอนที่มีรัฐบาลที่ทำงานเกี่ยวกับต่างประเทศห่วยแตก ทูตก็ได้แต่ใบ้กินเวลาที่ต้องตอบคนของประเทศที่ตนเองไปอยู่ ว่าตอนนี้ประเทศไทยเกิดอะไรขึ้น
        เอาแค่ง่าย ๆ ข่าวที่เด็กอมมือก็ยังรู้ก่อนนะ การตายของนักข่าว ช่างภาพต่างประเทศ ทั้งอิตาลี ญี่ปุ่น ไปถึงไหนกันแล้วครับ ?
        ทำไมเงียบ ?!
        ที่เงียบ เพราะรู้ว่าฝ่ายตัวเองทำ ใช่ หรือ ไม่ ?!

        ทุกสิ่งที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ทำนั้น เรารู้เช่นเห็นชาติกันหมดแล้ว โดยที่เราไม่จำเป็นต้องกะเทาะเปลือก กระพี้ แก่นสารอะไรกันออกมาอีก มันจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการฟื้นความสัมพันธ์ จากคนของรัฐบาลในขณะนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากในขณะนี้ เพราะถ้าไม่เร่งทำ ประเทศไทยก็จะเสียหายในสายตาของชาวโลกอย่างมาก แต่กระนั้นก็จะต้องตอบปัญหาที่เกิดขึ้นกับต่างประเทศในช่วงอุทกภัยด้วย เช่น สุขาจากญี่ปุ่นที่มีการทิ้งไว้ในสนามบินดอนเมืองเป็นจำนวนมาก เพราะมิฉะนั้น ก็จะถูกกล่าวหาว่าทุจริต โกง เลือกพรรคแบ่งพวก ได้
        อย่าให้รัฐบาลนี้ กลายเป็นอีกรัฐบาลหนึ่งที่ประชาชนจะ “ไม่เลือก”
        แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประชาชนก็จะมีสติ เลือกพรรคการเมืองที่เป็นตัวเลือกใหม่ ที่จะสามารถสร้างสรรค์ประเทศไทยได้จริง พรรคเล็กอาจจะมีโอกาสที่จะได้เป็นพรรคขนาดกลาง และพรรคขนาดใหญ่
        ก็จะไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์อยู่ดี
        เพราะ “ไส้” มันถูกลากออกมากองให้คนทั้งโลกดูหมดแล้ว !!

22 ธันวาคม 2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น