วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ขอโทษเถอะเพื่อนเอ๋ย... กูรัก “นักการเมือง” ว่ะ !!

        จากสถานการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา มันทำให้เราได้รู้ว่า ยิ่งสถานการณ์เพิ่มมากขึ้นหรือยืดยาวไปเท่าใดก็ตาม เราก็จะเห็นสิ่งที่ไม่น่าดูมากขึ้นเท่านั้น แทนที่น้ำท่วมในครั้งนี้จะเป็นการทำให้คนไทยนั้นหันมาจับมือกันเพื่อฟันฝ่า ปัญหานี้ไปด้วยกัน ละวางปัญหาการเมืองที่กินเกาเหลากันมานานกึ่งทศวรรษลงไปบ้าง
        ไม่เลย
        กลับทำให้ปัญหาต่าง ๆ ยิ่งบานปลายมากขึ้น จนได้เห็น “ธาตุแท้” คนเลว ๆ หลายประเภท ที่มักจะมาเลวเอาตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวเล็กตัวน้อย ไล่ไปจนถึงระดับบิ๊ก ๆ ซึ่งบางคนเราก็รู้จักกันทุกวัน
        บางเรื่องที่ไม่เป็นปัญหา ก็ทำให้ “เป็นปัญหา”
        ส่วนเรื่องที่เป็นปัญหา ก็จะทำให้มันเป็นปัญหา “มากขึ้น” จนบานปลาย
        นี่แหละครับ “การเมืองไทย”

        ช่วงหลัง ๆ นี้ผมได้ยินเพื่อนออกมาวิจารณ์สถานการณ์อุทกภัยกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้มีประสบการณ์ตรง แม้ว่านครนายกจะไม่โดนน้ำท่วมก็ตาม แต่ก็เข้าใจได้ว่าได้รับผลกระทบไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เนื่องจากสถานศึกษากวดวิชาทั้งหลายมีปัญหาน้ำท่วมกันถ้วนหน้า หลายคนหนีน้ำกันแทบไม่ทันครับ บางคนที่ไปเรียนไกล ๆ เช่น ร.ร.จุฬาภรณราชวิทยาลัยปทุมธานี ซึ่งเป็นโรงเรียนเข้มวิทยาศาสตร์ ก็จะใส่ชุดกลับมาบ้าน เดินว่อนตัวเมืองกันเป็นแถว แล้วคนพวกนี้ก็จะมีเรื่องเม้าท์มาคุยกันในทำนองว่า ตอนที่กลับบ้านมา น้ำก็ตามหลังมาเรื่อย ๆ
        เกือบเป็นหนังประเภทอภินิหาร พอ ๆ กับกองทัพยิวของโมเสส ที่ข้ามน้ำหนีรอดจากกองทัพอียิปต์ที่ไล่ตามมาได้นั่นแหละ
        แทบจะไม่มีใครจะไม่วิจารณ์เรื่องน้ำท่วมเลยในเวลานี้ครับ
        ผมฟังเพื่อนคุยกันในทำนองที่ว่า น้ำท่วมในครั้งนี้หนักหนาเพราะมีปัญหาด้านการจัดการน้ำ ซึ่งเป็นไปโดยไม่มีประสิทธิภาพ และหลายคนก็ได้พูดถึงนักการเมืองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้ปัญหามันลุกลาม บานปลาย ทั้งในฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน
        แน่นอน ฝ่ายที่ต้องโดนมากกว่าอยู่แล้วนั่นก็คือ “ฝ่ายรัฐบาล” ซึ่งเป็นตรรกะสามัญสำนึกที่แน่นอนอยู่แล้ว ว่าฝ่ายที่ต้องรับผิดชอบนั้นจะต้องโดนว่า โดนด่า ในด้านการบริหารจัดการ ในเฉพาะหน้า ระยะสั้น เป็นแน่นอน
        รัฐมนตรีหลายคนเพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง จึงแน่นอนว่ารัฐมนตรีเหล่านี้จึงทำงานไม่ค่อยถึงลูกถึงคนเสียเท่าไรนัก ต้องอาศัยข้าราชการประจำเป็นตัวเสริมตัวช่วยในการเข้าไปทำงานช่วยเหลือ ประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ว่ามือใหม่อย่างนี้ต้องบ่มเพาะประสบการณ์กันอีกยาว นาน
        ไม่เหมือน (นักพูด) มืออาชีพ (บางคน) ที่มีพรสวรรค์ติดตัวมาแล้ว จึงทำหน้าที่ได้โดยรวดเร็วปานไฟเลียก้น
        น่าจับคนพวกนี้ไปทำงานกระทรวงแรงงานเสียให้หมด
        เพราะคนพวกนี้ชอบ “หางาน” ทำอยู่เรื่อย

        แต่ที่ผมฟังแล้วแทบจะตกใจในความคิดของเพื่อน นั่นก็คือ การออกมาพูดคุยกันว่ารัฐบาลชุดนี้จะต้องรับผิดชอบที่ทำผิดพลาดไปกับคนไทย ทั้งประเทศ และนายกรัฐมนตรีจะต้องลาออกด้วยเพื่อรับผิดชอบ
        ไม่เท่านั้น ยังมองอีกว่านักการเมืองที่เห็นกันอยู่นั้นเลว สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อตัวเอง แม้เวลาที่ประชาชนจะเดือดร้อนอยู่ก็ตาม
        บอกตรง ๆ นะครับ ผมไม่ค่อยจะถูกกับความคิดของเพื่อน ๆ สักเท่าไหร่นัก เพราะต้องเข้าใจกันดีว่าถิ่นของผม เป็นยังไง หรือไม่ก็อาจจะมีความคิดแบบสลิ่มอยู่ไม่น้อย ซึ่งคนเหล่านี้ก็เชื่อตามผู้ใหญ่ไป
        ผมมีเพื่อนอยู่ไม่กี่คนหรอกครับที่มีลักษณะความคิดเช่นเดียวกัน นอกนั้นก็เป็นสลิ่มแทบทั้งสิ้น แต่ก็แบ่งกันอยู่ว่าเป็นสลิ่มอ่อน ๆ หรือแบบเข้มข้น
        แนวความคิดของคนพวกนี้ ก็เป็นเหมือนสลิ่มทั่ว ๆ ไป คือ เชื่อว่านักการเมืองต้องเป็นคนดี ไม่ทุจริต โกงกิน ต้องทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ไม่มีเรื่องราวส่วนตัวเสื่อมเสีย เป็นต้น

        ผมขอบอกเพื่อน ๆ ที่อ่านบทความของผมไว้ ให้รู้จุดยืนด้วยครับ
        คือ ผมไม่บังอาจขัดความคิดเหล่านี้ของเพื่อน ๆ หรอก เพราะมันเป็นคุณสมบัติที่นักการเมืองควรจะมี และเป็นเจตนารมณ์กันอยู่แล้ว เพื่อที่บ้านเมืองจะได้เจริญก้าวหน้า
        แต่ดูจากความคิดของเพื่อน ๆ แล้ว ดูจะขัดกับหลักประชาธิปไตยอยู่พอสมควร ผมพูดแบบไม่เกรงใจเลยนะครับว่า ขัดหลักไปมาก
        คือ การที่จะวิจารณ์ เตือน ด่า ผมเห็นแต่จะด่ารัฐบาลกันเป็นทิวแถว แต่ไม่มีใครที่จะออกมาวิจารณ์การทำงานของฝ่ายค้าน หรือ กทม. เลยครับ
        ผมแปลกใจว่าการวิจารณ์นั้น มันมีมาตรฐานการ “ด่า” ไปในตัว คือ ถ้าไม่ใช่พวกของตัวเอง ก็จะด่าแบบสาดเสียเทเสีย แทบไม่เห็นความดีอยู่ในตัว เป็นคนเหนือก็ผิด พูดอังกฤษไม่ค่อยคล่องก็ผิด เป็นผู้หญิงก็ผิด
        แต่พอเป็นทีพวกตัวเองนั้น ต่อให้เลวกันยังไงก็ “รับได้” เสมอ
        เห็นอย่างนี้น่าแยกประเทศกันอยู่ซะให้รู้แล้วรู้รอด

        คุณอย่ามาเถียงว่าที่จะต้องด่ารัฐบาลกันก็เพราะเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดชอบใน การทำงานแก้ไข ความจริงมันมีทุกฝ่ายที่ทำงานร่วมกัน แต่คุณไม่เคยที่จะวิจารณ์คนพวกนั้นเลย เช่น ทหาร ที่ออกมาเป็นพระเอกในงานนี้ เอาละ ผมเชื่อว่าทหารเขาทำเต็มที่ครับ มาจากใจก็ส่วนหนึ่งที่อยากเห็นประชาชนพ้นทุกข์ แต่อีกส่วนหนึ่งที่ทำแบบนี้ก็คือ “ทำตามหน้าที่” ซึ่งกองทัพทั้งสามก็เป็นหน่วยงานของรัฐบาลอย่างหนึ่ง คือขึ้นกับกระทรวงกลาโหม
        ไม่ได้แยกกันจนกลายเป็นอิสระ
        ถ้าอย่างนั้นก็ให้เป็นสถาบันที่ 4 ไปเลยสิ หมดเรื่อง...
        นี่คือ “หน้าที่” หนึ่งของทหาร ที่จะป้องกันและปัญหาภายในชาติให้ดีขึ้นและดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ไม่ใช่ทำกันเองเหมือนจิตอาสา ต้องมีระบบระเบียบ งบประมาณ หน้าที่ กรอบต่าง ๆ และที่สำคัญ ต้องมีคำสั่งจากหน่วยเหนือ ซึ่งก็คือรัฐบาล ซึ่งจะวางขอบเขตให้ทหารกระทำสิ่งต่าง ๆ ไว้กว้าง ๆ แล้วทหารจะเอาไปปรับใช้ตามที่เรียนรู้กันมา ไม่ว่าจะเป็นการข่าว ยุทธศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ซึ่งจะต้องปรับจากการรบมาเป็นการอำนวยความสะดวกและช่วยเหลือประชาชน
        การที่ออกมาเลือกที่รัก มักที่ชัง กันแบบนี้ผมว่าไม่ยุติธรรมนะครับ ผมเองวิจารณ์รัฐบาลไปหลายอย่างว่าทำงานผิดพลาด เช่น การทำงานไปวัน ๆ ประสานรอยร้าวความขัดแย้งให้กับชุมชนต่าง ๆ ไม่เต็มที่ ทั้งที่เป็นสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาก็สามารถทำได้ เพื่อให้ความขัดแย้งทุเลาเบาบางลงไป หรือการทุจริตที่ปล่อยให้บุคคลบางกลุ่มนำของบริจาคไปใช้เองหรือสวมรอยใส่ ชื่อตัวเอง เอาไปแจกผู้ประสบภัย
        ตรงนี้ถือว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมากของรัฐบาล แต่จะถึงขนาดที่จะให้ออกนั้นผมว่ามันจะเกินไปหรือไม่
        แล้วที่บอกว่าไม่ศรัทธานักการเมือง (บางกลุ่ม สำหรับสลิ่มที่ปักใจรักนักการเมืองอีกกลุ่มหนึ่ง) หรือกล่าวหาว่านักการเมืองเลวทั้งโคตร อย่างเสื้อบางสี เป็นต้น ผมอยากจะถามหน่อยว่า ถ้าไม่เอานักการเมืองแล้วน่ะ แล้วเราจะไปเอาใคร
        ผมบอกไว้เลยนะว่า ในระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทนนั้น แม้ว่านักการเมืองจะเลวอย่างไรก็ตามทีเถอะ เราก็ยังมีระบบการตรวจสอบ ซึ่งการตรวจสอบนั้นสามารถกระทำได้หลายช่องทาง ตามที่กฎหมายให้เรามาว่าเราจะทำอย่างไรได้บ้าง ที่เราจะตรวจสอบนักการเมือง เรามีกฎเกณฑ์กติกาอยู่ ใครทำผิดก็ต้องรับโทษกันไป แล้วประชาชนก็จะรู้ว่าใครเป็นอย่างไร สมัยหน้าจะได้ไม่เลือกเข้าไปอีก
        กระบวนการแบบนี้เป็นกระบวนการทางประชาธิปไตยครับ ซึ่งทั่วโลกก็มี มันทำให้ประชาชนสามารถพบกับประชาธิปไตยที่ดีได้โดยค่อยเป็นค่อยไป เขาก็จะเริ่มเรียนรู้กับมัน และนำไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ตามที่เราทุกคนต้องการ ถูกต้อง และเป็นธรรม
        ดังนั้น ผมจึงไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นชุดใด ๆ (ยกเว้นการยึดอำนาจของพระยาพหลพลพยุหะเสนาที่มีจุดประสงค์รักษารัฐธรรมนูญ ของคณะราษฎร) ซึ่งเป็นการ “บั่นทอน” โอกาสการเรียนรู้ทางการเมืองของประชาชน
        พอรัฐประหารเสร็จ ก็จะมีการ “ร่ายยาว” ถึงรัฐบาลที่ถูกโค่นล้มไปต่าง ๆ นานาว่าเลว ทุจริต โกงกินชาติ เป็นต้น แล้วก็จะอธิบายว่าตัวเองทนเห็นบ้านเมืองเป็นแบบนี้ไม่ไหว ก็เลยออกมาช่วยชาติ
        โปรตัวเองว่าดีอย่างโน้นอย่างนี้ แต่สิ่งที่เรารู้กันชัดเจนว่า พอเข้ามาบริหารเองนั้น กลไกการตรวจสอบกลับชำรุดทรุดโทรม ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากระบบตรวจสอบถูกครอบงำ ทั้งก่อน และหลังรัฐประหาร มีการนำบุคคลที่ตัวเองไว้ใจทำหน้าที่องค์กรตรวจสอบต่าง ๆ และมีหน่วยงานแปลกประหลาดหลายหน่วยงานด้วยกันซึ่งจัดตั้งขึ้นมาใหม่ รวมทั้งคนจำพวกที่บอกทั้งโลกปาว ๆ ว่า “ผมไม่คิดเล่นการเมือง” ทว่า เข้ายุ่งกับการเมืองจนเกินเหตุ มีทั้งหมอ พระ สื่อสารมวลชน ปราชญ์ชาวบ้าน พร้อมโจมตีนักการเมืองและประชาธิปไตยแบบตัวแทนมาตลอด เช่น นาย ต. นาย ป. นาย ส. เป็นต้น
        สรุปคือ คนดีพวกนี้ ไม่มีใครกล้าตรวจสอบ
        บริหารประเทศจนฉิบหายกันอย่างไร ก็ไม่มีใครว่า และใครว่าก็ไม่ได้
        ใช่ หรือ ไม่

        เพราะฉะนั้น ผมจึงไม่เห็นด้วยกับอำนาจนอกระบบใด ๆ และไม่คิดที่จะสนับสนุนคนพวกนี้ เพราะมันมาโดยที่เราไม่รู้ตัว เราไม่ได้เชิญมันมา และเมื่อมันมาแล้วมันก็ทำพิษภัยให้กับประเทศอย่างมหาศาล
        จุดยืนของผมคือ “สนับสนุนนักการเมือง” โดยนักการเมืองที่ผมสนับสนุนนั้นไม่จำเป็นต้องดีแบบเทวดา ดีทุกกระเบียดนิ้ว สิ่งที่ผมจะภูมิใจมากที่สุดก็คือ นักการเมืองผู้นั้นได้มาจากเสียงส่วนใหญ่ เสียงข้างมาก ของประชาชนคนเลือก นั่นละ
        ไม่ใช่นักการเมืองคนนั้น มาจากการพลิกขั้ว มานอกกฎหมาย หรือมาจากอำนาจนอกระบบและวิถีทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
        คุณจะรับได้หรือไม่ได้ก็แล้วแต่กบาลของคุณ แต่...
        ผม “รับไม่ได้” ครับ !!
        ฉะนั้น ถ้าคิดว่านักการเมืองเลว แต่ระบบมันเป็นอยู่อย่างนี้ หากตัวเองอยากจะเข้าไปเปลี่ยนอะไรก็แล้วแต่ที่ใจตัวเองคิด ก็อย่าไปเล่นการเมือง (ทั้งที่หลอกคนทั้งประเทศว่าไม่ได้เล่น) นอกระบบ เรียกร้องอะไรก็ไม่รู้แปลกประหลาดเลยสิ ก็เข้าสมัครเป็น ส.ส. ส.ว. ให้อยู่ในระบบ ดูซิว่าจะได้รับการยอมรับจากประชาชนหรือเปล่า หรือถ้าคราวนี้ยังไม่ได้ ก็ทำตัวให้ประชาชนนับถือ มีอะไรที่เป็นประโยชน์กับประชาชนและชาติ ทำเข้าไป และให้ทำด้วยใจจริง ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำเหมือนทุกวันนี้ ถ้าดีจริง ประชาชนจะเลือกเอง
        ไม่ใช่ว่า ผู้ปกครองมาจากไหนก็ไม่รู้ โยนมาจากฟ้า ถีบมาจากดิน แล้วก็ยัดเยียดให้ประชาชนต้องรับสิ่งต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เขาไม่เอา ไม่ยอมรับ แถมเอาอำนาจไปบังคับ ยุบ ยึด เป็นเผด็จการที่เลวในระดับหนึ่ง

        สิ่งที่ผมรังเกียจที่สุด ก็คือ หลายต่อหลายคนไปด่าประชาชนที่เลือกพรรคพวกที่ตัวเองเกลียดชังขั้นเข้าไส้ว่า “โง่” และพยายามที่จะแบ่งความเป็นคนจากการศึกษา ก็จะหาว่าคนจบ ป.โท ป.เอก มีสติปัญญาดีไตร่ตรองดี วิจารณญาณเป็นเลิศ ถ้าเป็น ป.ตรี ก็พอทำเนา ส่วนพวกจบ ป.4 ม.3 ป.6 จะถูกมองว่าไร้การศึกษา เรียนต่ำ ไม่มีโอกาส ไม่มีปัญญา ก็จะถูกกวาดไปเป็นพวกห่าเหวกเฬวรากไปเสียหมด อาชีพก็คงไม่พ้นพวกรับจ้าง หาแดกหายัดกันไปวัน ๆ หรือไม่ก็ทำงานในระบบขนส่งสาธารณะ เป็นต้นว่า มอเตอร์ไซค์รับจ้าง แท็กซี่ รถเมล์ ซึ่งที่พวกชนชั้นกลางหรือสลิ่มหลายต่อหลายคนนักไม่ขึ้น ก็เพราะว่ารังเกียจที่จะเห็นคนชั้นล่างอยู่ร่วมแห่งหนกัน
        มากกว่าเพราะปัญหาการบริการไม่ดี สกปรก ขับรถแช่ป้าย หรือไม่ก็พุ่งแหลนทะยานไม่ต่างกับแม่มด อาจจะเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันแบบ “เมล์นรกหมวยยกล้อ” เอาก็ได้
        ตอแหลว่าคนบางกลุ่มกำลังจะแบ่งแยกประชาชน ขอถามว่า แล้วที่พวกคุณทำเช่นนี้มันคือ “แบ่งแยก” หรือไม่ ?!

        ตัวอย่างของ “การ แบ่งแยกคน” จาก “การศึกษา” ที่ชัดเจน อยู่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งหลายต่อหลายคนนักเชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่สมบูรณ์ที่สุด หารู้ไม่ว่า มันได้ซ่อนความอุบาทว์ไว้ภายใน คือ มาตราที่เกี่ยวเนื่องกับองค์กรบริหาร (คณะรัฐมนตรี) และนิติบัญญัติ (รัฐสภา) ได้บัญญัติให้บุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับองค์กรทั้งสองนั้น ต้องจบปริญญาตรีเป็นอย่างน้อย
        เรื่องนี้ผมไม่เห็นด้วยเพราะการศึกษาไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าเราจะมีสติคิด ไตร่ตรองดีกว่าคนอื่น หรือทำงานดีกว่าคนอื่น บางที “ประสบการณ์” ก็มาก่อนและสำคัญกว่า อย่างเช่น รับสมัครคนผัดข้าว เขาจะมานั่งดูประวัติไหมว่าจบอะไรมา ก็แค่ถามคำเดียว
        “ผัดข้าวเป็นหรือเปล่า ?”
        เห็นไหมครับ บางทีการศึกษาก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้ทุกอย่าง บางทีแค่เรื่องพื้นฐานนี่หลายคนยังทำไม่ได้ แล้วจะไปทำอะไรกับประชาชนแบบเป็นชิ้นเป็นอันได้ ไม่เข้าใจ
        แล้วคนที่มีการศึกษาที่ดีกว่า แต่ดันใช้การศึกษาที่ได้มาทำลายล้างปู้ยี่ปู้ยำกัน ผมจะว่ากับคนพวกนี้อย่างไร คือ พวกนี้จะคิดว่าตัวเองดี โดยฉาบภาพที่หวังดีกับทุกคนเอาไว้เพื่อให้ทุกคนตายใจ บอกปาว ๆ ว่าเพื่อช่วยให้หายโง่ แข็งแรง ปลอดเชื้อการเมืองอุบาทว์ให้ได้ ถามหน่อยเถอะครับว่า แล้วคุณเป็นใครที่บังอาจมาสอนประชาชนให้เป็นไปตามที่พวกคุณคิด แล้วก็บอกว่าตัวเองดี ดีกว่าคนอื่น เอาแค่สามัญสำนึกขั้นธรรมดาก็พอแล้ว คนประเภทยกตนข่มท่านแบบนี้นี่แหละ คิดว่าคนเขาจะทนคบได้ไหม
        ประเภทที่มองว่า การศึกษามักจะแปรผันตรงกับจิตสำนึก จริยธรรม คุณธรรม และมองว่าประชาชนส่วนใหญ่ในตอนนี้ ยังไม่มีการศึกษาที่ดีพอ เพราะฉะนั้น จึงยังไม่ให้อำนาจเต็ม ๆ ในการให้ประชาชนปกครองประเทศ จึงต้องมีตัวช่วย มีอุปสรรค คือ การเข้ามาของกลุ่มหรือคณะบุคคลที่หวังดีต่อประเทศ ทำเป็นขึงขัง กวาดขจัดปัดเป่าเสนียดจัญไรของประเทศจนคนประเภทหนึ่งเอาไปชื่นชมอยู่สามวัน เจ็ดคืน ถึงกับถ่ายรูป มอบดอกไม้ กลายเป็นสิ่งประหลาดในโลกประชาธิปไตย
        เอาง่าย ๆ ไม่อ้อมค้อม...
        “รัฐประหาร” นั่นเอง
        ก็เพื่อดึงประชาชนให้พ้นจากวังวนนักการเมืองอุบาทว์ จากแนวคิดที่ว่า “นักการเมืองเลว” ทำเป็นโอดโอยครวญครางเหมือนมีใครมาบีบหัวนมตัวเองเมื่อมีรัฐบาลที่ตัวเองจง เกลียดจงชังเข้ามาบริหารประเทศ แต่เมื่อตัวเองได้เป็นกันบ้าง
        พากันเอา “ถุงตีน” ยัดปากตัวเองกันเป็นแถว

        ความคิดเช่นนี้ คือ แนวคิดที่ขัดกับหลักการประชาธิปไตยสากล ซึ่งมันมีวิวัฒนาการของมันมาควบคู่กัน ฝ่ายประชาธิปไตยก็จะหาทางคิดค้นวิธีการต่าง ๆ ที่จะทำให้เกิดสิทธิเสรีภาพขึ้นในประชาชน อีกฝ่ายหนึ่งก็จะหลอกประชาชนให้เชื่อ ในตำนาน ในกฤษดาภินิหารต่าง ๆ และยิ่งนานวัน ก็จะเกิดความซับซ้อน ความแนบเนียน มากขึ้น ผิดจริงอาจจะเห็นว่าไม่ผิด เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ทำให้เป็นเรื่อง ขายจนหลายคนโดนหลอก จมอยู่ในปลักกระบือมานักต่อนัก
        ไม่ละ อยากจะบอกเพื่อน ๆ ทุกคนว่าถ้าจะทำตัว “โง่ไร้เดียงสา” อยู่อย่างนี้ก็ตามใจครับ ก็เพียงแค่อยากจะให้ข้อเตือนว่า ผมไม่ใช่คนในกลุ่มการเมืองใด เหมือนที่หลายคนพยายามจะบอกว่า จะต่อสู้ทำไม มันไม่ใช่เรื่องของเรา
        ทุกอย่างที่เรามี มันเกิดจากการต่อสู้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นระบอบประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพต่าง ๆ วัฒนธรรม ค่านิยม กฎเกณฑ์ ข้อจำกัดต่าง ๆ หลายอย่างถูกทำลายลง หากไม่มีการต่อสู้ เราคงไม่มีอะไรต่อมิอะไรที่เราถืออยู่ในมือ เผลอ ๆ เสื้อผ้าของเราจะไม่มีเอาเสียก็ได้
        ถ้าไม่คิดที่จะต่อสู้อะไร นั่นคือ คุณยอมแพ้ต่อโชคชะตา ที่บังเอิญมีคนเป่าหู แล้วปลอบว่ามีเท่านี้ก็ดีแล้ว จงก้มหน้าดำเนินชีวิตต่อไปเถิด เดี๋ยวฉันจะดูแลเธอเอง
        ผมไม่ยอมให้ตัวผมเป็นเช่นนั้นเป็นอันขาด
        ถ้าอย่างนั้นแล้ว เราจะมี “ปัญญา” ไปทำไมกันก็มิทราบได้ ?!

        ขอกระแทกหูกระแทกตาเพื่อน ๆ เป็นครั้งสุดท้ายเถอะ...
        “ขอโทษเถอะเพื่อนเอ๋ย...
        ...กูรักนักการเมืองว่ะ...!!”

26 พฤศจิกายน 2554

รู้เช่นเห็นชั่ว (กลอนสุภาพ)

        ฟังข่าวสุดท้ายใจหายวาบ                มือไม้ยวบยาบตามแถลง
ป่วยหนักจักใกล้ใจอ่อนแรง                      ข่าวแสดงแจ้งชัดมิขัดคำ
        จะร้องไห้เพราะมันกันหรือไม่            ด้วยเสียใจคบมาร่วมเรียนร่ำ
เทใจรักจักห่วงทรวงคะมำ                       แต่ว่าคำนึงแล้วมิอาจเอา
        เพิ่งมารู้กูเองโดนมันหลอก               อีหน้าดอกเพิ่งรู้เพราะกูเขลา
เสียแรงไว้ใจมันกันนานเนา                      หูแม่งเบาหวิวหายกลายเป็นลม
        เกือบสองปีก่อนไมตรีจะแตกดับ         ความสัมพันธ์จะย่อยยับและขื่นขม
รู้ความจริงใจยิ่งจะตรอมตรม                   หวานอมขมกลืนยืนไม่เป็น
        หลงไปรักคนนี้อีใจหมา                  ใครทักใครพาใครมาเห็น
ก่อภาระวาทะและประเด็น                     ด้วยความเอ็นดูแต่กูเอย
        เสียใจที่กูไม่นำพา                        ใครด่าไม่สนจนเฉลย
แต่ก่อนนึกสงสัยก็ไม่เคย                         จนเขาเผยความจริงยิ่งละคร
        ไปร่านจนท้องตั้งแต่เริ่ม                 ไม่นานก็ประเดิมเริ่มสังหรณ์
ปิดบังกูตายใจไม่อาวรณ์                        คงมีแต่อาทรรับมันไป
        แต่ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายหรอก       สัพยอกตอกเอาเม้าท์กันใหญ่
ย้ำหลายทีไม่ว่าจะใครใคร                       จึงรู้ว่าทำไมจึงเป็นเอา
        กูเจ็บปวดรวดร้าวก็คำมัน                เชื่อฉันบริสุทธิ์อย่ามาเขลา
ไม่น่าเชื่อแต่แรกแต่หูเบา                        เพราะรักเราบังตาพามืดมิด
        พอมันป่วยโรคเลือดใจเหือดแห้ง        ลับหลังเล่นแรงมิปกปิด
กระแสจริงยิ่งโหมโรมอมิตร                      จับจิตนินทาว่ากันไป
        มันนั้นท้องก่อนแท้งแล้วแคลงเลือด      หน้ากูเผือดซีดขาวน้ำตาไหล
ค้นและคว้าจนรู้ว่าจริงแก่ใจ                      หลอกกูได้แถมโดนทุกคนล้วน
        น้ำตาไหลนองในหัวใจกู                   นึกอดสูกูโง่โผล่กำสรวล
กำสรดเศร้าเอาเท้าถีบน้ำทวน                    กระแสสวนครุ่นคิดสัจธรรม
        แม้กูรักไว้ใจใยหลอกกู                      ยังมีชู้โน่นนี่กันเช้าค่ำ
นี่แหละหนาอารมณ์ใจวัยระยำ                    ชอบทำก่อนคิดสนิทไป
        รู้เช่นเห็นชาติยามขาดกัน                  สารพันเลวทรามความเขาไข
นึกอีกทีนี่คนหรืออะไร                              เป็นปลาไหลลื่นทั่วผัวเต็มเมือง
        ยิ่งกะหรี่มีงานไม่ร่านเท่า                  ยิ่งดอกทองยังไม่เอาเท่าหนุนเนื่อง
ยิ่งสิบเอ็ด ร.ด. ก็พอเปลือง                      ยังไม่เคืองแค้นเท่าอีเจ้านี้
        หนอยแน่ะ ! อีแรดมันเกินคน            โสมมมากล้นมิจน...
ชอบทำแบะและบานปานกากี                  กูนี่ละทึ่งซึ้งมึงจริง
        โอ ! กูโง่โตโลดยังโฉดเขลา               ปัญญาเยาว์แม้เก่งยังเสียหญิง
อีสันดานเลวควายฉิบหายจริง                   กูก็คงละทิ้งแต่วันนี้
        ต่อไปนี้จะไม่มีใครอีกแล้ว                ตั้งใจเรียนไม่แป้วแถวทางที่
เห็นกะหรี่ถอยห่างบ้างก็ดี                        ก็ดีกว่าราคีจะเข้าตัว
        เอาใบปริญญาให้เร่งรุด                  จะหยุดเอาเสียเรื่องเมียผัว
เอาตัวรอดตลอดแต่เพียงตัว                     กูไม่อยากเป็นผัวใครอีกแล้ว
        แล้วเมื่อถึงวันนั้นก็คงมี                   ซึ่งสาวใดไมตรีมาเป็นแถว
บริสุทธิ์โสดใสคงไม่แจว                          คงไม่หลุดจากแนวแถวความนี้
        วันนี้พอก่อนช่างเหนื่อยใจ                เจอแต่คนจังไรมาขาย...
ชาติเป็นเช่นกระโถนนารี                         กูจะหนีให้ไกลจากพงศ์พันธุ์
        ไม่ไหวไม่ไหวและไม่ไหว                  พับใจเอาไว้ไม่ให้ขัน
ก่อนถลำลึกไปห้ามไม่ทัน                         คงจะเป็นไปตามมันอีกคนเอย !!

27 พฤศจิกายน 2554

สลิ่ม (กลอนสุภาพ)

        อันความละเมอเพ้อพก                มันรกหูรกตาเสียเปล่าเปล่า
แต่มันเกิดบ่อยนักประจักษ์เรา               แม้นมิเขลาก็เป็นเช่นเขลาคน
        แลสลิ่มทิ่มตำแลซ้ำเติม                แลจะเพิ่มเจิมเรื่องทุกแห่งหน
สรรพเฟคเสกสรรบันดาลดล                  สุดจะทนพ่นคำมาอำพราง
        แม้นไม่จริงยิ่งเอามาเดาเพ็ด          กระจายเท็จเจ็ดย่านพล่านถากถาง
แม้นจริงมาหลากหลายมิวายวาง             ได้แต่ครางเฟคแถแพนิกไป
        แล้วกันปัญญามหาเยาว์               สั่นเทายามกระทบสลบไสล
ตื่นอีกทีเห่าหอนแต่โดยไว                     โดยไม่วิจารณ์ตามครรลอง
        เหตุผลถีบทิ้งไม่ใยดี                    ถ้วนถี่ไม่คิดจิตจองหอง
ด่ากันไปไม่มีใครรับรอง                        ว่าถูกต้องจึงเป็นแต่พูดพาล
        จะโจมตีฝีมือก็เชิญเถิด                 จะดีเลิศไม่เป็นพาลฉาดฉาน
แต่แม้เรื่องส่วนตัวก็ระราน                     กรรมการสิทธิฯ จะว่าไร
        หญิงร้องไห้ควรเข้าใจธรรมดาหญิง  แต่นี่ยิ่งหยุมหยิมเอาจนได้
ทำสำออยตอแหลแถกันไป                    ปากใจมือใคร่ขยันนัก
        สำมะหาบ้าบอล้อเลียนเอา           เร่งเร้าขัดแย้งแจ้งจัดหนัก
ผัวเมียลูกผูกเรื่องไว้เต็มรัก                   โดนสะบักหักกรอบยอบยวบไป
        เดี๋ยวนี้จะเล่นคนเล่นทั้งโคตร        ตายโหงโหดขุดมาด่าน่าสงสัย
ศพคนตายกลายเป็นเศษจัญไร                เพราะภายใต้ความละเมอและเพ้อพก
        เห็นคนมักโง่ไม่มีค่า                   จึงชอบทำชีวาให้ตายตก
อนิจจาทุกตอนห่อนสะทก                   สกปรกโสโครกกะโหลกเดน
        รักตึกมากกว่าชีวิตคน                สัปดนส้นตีนปีนป่ายเล่น
แม้กฎหมายนานไปก็ไหวเอน                คนจัดเจนหาช่องกันฟ้องเอา
        ในกฎหมายยังมีคนเหนือเมฆ        ไร้กฎคุมแม้เอกกฎเกณฑ์ข้า
เพราะทำดีจึงไม่มีอะไรกล่อมเกลา          ฉาบภาพเอาทำคนมิสงกา
        แม้กษัตริย์ยังต้องอยู่ใต้กฎสุด        เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ร่วมภาษา
นี่คือรัฐธรรมนูญแห่งประชา                 นี่มันจะเหนือกว่าหรืออย่างไร
        เหนือกษัตริย์รัฐไทยคือใครหนอ     เหนือแม่พ่อประชาชนกว่าไหนไหน
พวกสลิ่มดีนักช้าอยู่ใย                        ทำไมไม่แย้งกันบ้างเลย
        ดูน้ำท่วมด่าเขามิเบาหู                แล้วตัวสูฤามัวเอ้อระเหย
เคยหรือไม่เคยไหมที่จะเคย                  หยุดเสบยแล้วนึกหน้าประชาชน
        เขาเป็นเพื่อนร่วมชาติแม้จนยาก     นั่นก็หากร่วมไทยเสียทุกหน
มัวแต่คิดพวกเขาเรามัววน                    สัปดนกายใจไม่ไคลคลา
        เห็นสลิ่มริมถ้วยนี่น่ารัก                แต่สลิ่มนี่น่าชักปืนผา
ไม่มีชาวบ้านเขาไม่นำพา                     จะอดข้าวตายห่าทั้งธานี
        ก็หลงกินข้าวไทยมิใช่หรือ             ฤาจะคือรักชาติมิถ้วนถี่
เอาตัวเองก่อนอุดมการณ์มี                    นึกไม่ดีก็แจ้งแถลงไป
        ชอบว่าเป็นกลางตัวสุดจะอ้าง         แล้วแม่งเป็นกลางเสียที่ไหน
คิดบอกหลอกคนไม่สนใคร                     แต่ทั้งใจดัดจริตผิดจรรยา
        ปันใจใฝ่ต่ำระยำจิต                     เกิดเป็นคนแต่คิดแบบหมาหมา
พูดไปไม่ดูนาฬิกา                               เย็นย่ำค่ำมาเห่าหอนไป
        ไม่มีจุดยืนกลืนคำสัตย์                  แต่ตระบัดร้อยท่าด้วยปลาไหล
เจอฝ่ายที่ชนะก็รับไป                           แสดงชัยทั้งที่ไม่ออกทุน
        มันเหล่านี้ทุเรศสุดเขตจิต              คุณธรรมหายมิดจักหมดสุนทร์
เป็นสมองขี้เลื่อยพร้อมรูพรุน                   ใครเขาจะการุณสมองมัน
        ฉลาดดีแต่ลืมในความจริง              เก่งทุกสิ่งยกเว้นในหัวฉัน
วิปริตปิดดากกันไม่ทัน                         พากันสมสู่เป็นคู่เคียง
        ซึ่งความวิปริตผิดมนุษย์                กาลสุดแก้ไขให้แท้เที่ยง
เพราะใจปักจำไปให้ตัวเอียง                  แม้นเก็บเลี้ยงนานไปใช่เชื่อฟัง
        ปล่อยสลิ่มแก่ตายของมันไป           เราก็ปั้นคนรุ่นใหมในรุ่นหลัง
ให้เขาคิดถูกต้องพร้อมรับฟัง                  เพื่อไม่ต้องมานั่งเถียงเป็นตาย
        คิดต่างอะไรก็ไม่ว่า                     แต่อย่าคิดผิดไปง่ายง่าย
เอาความยุติธรรมมาเป็นนาย                 จงขวนขวายหาธรรมประจำใจ
        ความถูกต้องยึดไว้ให้แม่นมั่น          จงถือไว้สำคัญเอาใจใส่
ไม่ให้หลงคิดผิดตลอดไป                       กลายเป็นทาสมิใช่ไทในความคิด
        ปล่อยสลิ่มให้ตายลงไปเถอะ           ปล่อยให้เล่นเลอะเทอะดัดจริต
คบมันไปยุ่งย่ามเป็นความมิตร                มันจะทำเป็นฤทธิ์เบ่งเดชา
        จะคบได้คบไปให้เป็นเพื่อน           ไม่ลางเลือนแค่นิสัยดูในหน้า
อย่าปะปนความคิดเลอะเลือนมา            จองศาลารอไว้ยามบานปลาย
        ทิ้งความคิดผิดพลาดไว้เบื้องพลัง      อีกทั้งเรื่องราวที่มากหลาย
มิฉะนั้นแม้เพื่อนจะกระจาย                      แถมจะตายเพราะไม่เว้นไม่วายเลย
        แต่ถ้าจะไม่คบคงดีกว่า                 ก่อนจะบ้าไม่เหมือนอยู่เฉยเฉย
ประเทศไทยฉิบหายไม่ลงเอย                  เอ้อระเหยหนีมาดีกว่าตู...!!!

24 พฤศจิกายน 2554

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

“วันทอง” กับ “เรยา” ความต่างในความเหมือน และ ความเหมือนในความต่าง


        “ประหนึ่งว่าวันทองนี้สองใจ”
        ข้อความนี้เป็นข้อความที่ปรากฏบนหน้าหนังสือ “วรรณคดีวิจักษ์ ม.6” ซึ่งเป็นหนังสือวิชาภาษาไทยสำหรับนักเรียน ม.6 ฉบับกลางของกระทรวงศึกษาธิการ ในหมวดหมู่ของวรรณกรรม “ขุนช้างขุนแผน” ซึ่งผมกำลังเรียนอยู่ในขณะนี้
        หลังจากผมได้เรียนและรู้มาบ้างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างขุนช้างขุนแผน และนางวันทองที่มีแต่เรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายตลอดมาตั้งแต่เล็กจนโต จึงได้เห็นแง่คิดบางอย่างที่แฝงและหยั่งรากลึกลงในหัวสมองคนไทยในรูปของ “ค่านิยม” อันที่จะต้องมาพิจารณาให้รู้เช่นเห็นชาติกัน
        “วันทอง” เป็นตัวหลักของละครที่ดูจะน่าสงสารมากที่สุด เพราะต้องโดนทั้งขุนแผนและขุนช้าง ทึ้งกันไปกันมาจนเกิดอาการ “สองใจ” ขึ้นมา คือ จะไปหาขุนแผนก็นึกได้ว่าตัวเองก็มีความผูกพันกับขุนช้าง ครั้นจะไปหาขุนช้างก็นึกได้ว่าตัวเองรักขุนแผน อาการที่ “เลือกไม่ลง” เช่นนี้จึงทำให้นางถูกพระพันวษาสั่งประหารชีวิตในที่สุด
        ดังนั้นเอง คนสมัยปัจจุบันจึงมักจะเปรียบผู้หญิงที่มี “สองใจ” คือคบผู้ชายสองคนว่า “วันทอง”
        ตัวละครอย่างนางวันทอง ถูกยกจากนักอะไรต่อมิอะไรว่าเป็นตัวอย่างของสิ่งที่ไม่ดี ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น แล้วก็โปรกันแบบเช้ากลางวันเย็นว่าคนเรามันต้องจริงใจ จะว่า “ผัวเดียวเมียเดียว” ก็ได้ ไม่ผิดไปจากที่ว่ากันไว้
        ทีนี้ เราที่ไม่ค่อยจะเชื่ออะไรง่าย ๆ ก็ต้องมานั่งคิดใคร่ครวญกันว่า ที่นางวันทองต้องโดนตราหน้าอย่างนั้น เป็นเพราะอะไร

        ก็ไปพบว่าที่ทำให้นางต้องกลายเป็นคนสองใจจนเราเผลอ ๆ ไปนั่งด่านั้น ก็เพราะว่านางเกิดความลังเลใจว่าจะอยู่กับใครดีระหว่างขุนช้างกับขุนแผน คือ แต่เดิมนางมีความรักใคร่กับขุนแผน ตั้งแต่ขุนแผนยังเป็นพลายแก้ว และเป็นเพื่อนเล่นหัวกับขุนช้างกันมาแต่เด็ก ๆ แล้วขุนช้างก็มีใจรักในตัวนางแต่นางไม่ยินยอม ทั้งสามคนไม่นึกว่าจากการเล่นกันตอนเด็ก ๆ ที่ให้พลายแก้วกับนางพิม (วันทอง) เป็นผัวเมียกันแล้วให้ขุนช้างทำทีเป็นแย่งกันนั้นจะเป็นความจริง
        เรื่องวุ่นวายก็เนื่องมาจากผู้ชายสองคนมีใจปฏิพัทธ์สัมพันธ์ในผู้หญิงคน เดียว โดยขุนแผนได้นางวันทองเป็นภรรยา ขุนช้างก็หาเล่ห์กลทุกทางที่จะชิงตัวนางให้ได้ ตั้งแต่การเก็บกระดูกหมากระดูกควายใส่หม้อดินมาหลอกนางว่าขุนแผนตายแล้ว เข้าทำลายต้นโพธิ์ที่ขุนแผนกับนางตั้งสัจจอธิษฐานร่วมกันจนเหี่ยวเฉา เพื่อลวงให้นางเข้าใจว่าขุนแผนตายแล้วอีกเช่นกัน หรือการลวงพลายงาม ซึ่งเป็นลูกของนางซึ่งเกิดแต่ด้วยขุนแผน ไปฆ่า อย่างที่ว่า “เอาขอนไม้ทับคอแทบมรณา” อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งการทั้งหลายสำเร็จหลายครั้งและส่วนใหญ่ก็จะไม่พ้นเรื่องของการฉุดคร่า
        เมื่อนางมาอยู่กับขุนช้าง แม้รู้ว่ามาโดยมิเต็มใจ แต่เมื่ออยู่กันนาน ๆ แล้วก็ย่อมมีความผูกพันเป็นธรรมดา ในบางครั้งจึงไม่อยากจากเวลาขุนแผนมาชิงคืน แม้ว่าตัวนางจะรักขุนแผน จึงส่อแสดงว่านางมีความผูกพันกับทั้งสองคนพอ ๆ กัน มีระยะเวลาที่อยู่กับแต่ละคนพอ ๆ กัน
        แต่ที่นางวันทองสองใจนั้นมิใช่แค่การกระทำของตัวนาง หรือพูดง่าย ๆ ว่าถ้าจะเอาผิดก็อย่าเอาผิดเพียงแค่นางเท่านั้น ขุนแผนเองก็มีส่วน คือ ความเจ้าชู้ของขุนแผนที่ “อยู่ที่ไหนก็ได้ที่นั่น” ไม่ว่าจะเป็นนางลาวทองซึ่งได้มาเมื่อศึกที่จอมทอง นางแก้วกิริยาข้าของขุนช้าง นางบัวคลี่ลูกของหมื่นหาญ หรือแม้แต่นางสายทองซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของนางวันทองเอง ถึงขนาดปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งกันคาผ้าเหลืองในกุฏิกันเลยทีเดียว
        ความเจ้าชู้ หลายใจของขุนแผนนั่นเอง ทำให้นางวันทองเกิดความระแวง สงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งสองคน และทำให้คำอ้างของขุนช้าง “สมอ้าง”
        สำหรับขุนช้างก็มีส่วนผิด คือ ทั้งที่รู้อยู่เต็ม ๆ ว่าขุนแผนกับนางวันทองรักกันอยู่ แต่ก็จะหาลู่ทางที่จะแยกและชิงตัวกันเสมอมา กำจัดศัตรูหัวใจกันจนเกือบจะถึงแก่ชีวิตก็มี
        นั่นคือ ทั้งสามคนต้องมีส่วนในความรับผิดชอบที่ทำให้นางวันทองต้อง “สองใจ” และถูกประหารชีวิตจากการ “สองใจ” นั้น
        ใช่ คนที่ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนี้ ไม่ใช่เพียงแค่นางวันทองคนเดียว หรือแม้แต่คนนอกอย่างนางศรีประจันต์ นางทองประศรี พลายงาม หรือแม้แต่พระพันวษาเองก็มีส่วนเช่นกัน มากบ้างน้อยบ้างตามแต่จะเกี่ยวข้อง

        แต่กลายเป็นว่า สังคมกลับพุ่งเป้าไปที่ผู้หญิงที่ชื่อ “วัน ทอง” จนกลายเป็นตัวรับบาปไป เห็นว่าประมาณ 3-4 ปีที่แล้วก็มีเพลงในฝ่ายไทยสากลสมัยใหม่ชื่อว่า “วันทอง” ออกมา นั่นก็คือเคสหนึ่ง โดยที่เราอาจจะลืม (หรือแกล้งลืม) ว่าทั้ง ๆ ที่เห็นว่าขุนแผนและขุนช้างเข้ารุมแย่งนางวันทอง สรรหากลเม็ดสรรพวิธีต่าง ๆ ที่จะสามารถดิสเครดิตกันและกัน ไม่สนใจว่าจะเป็นทางดีหรือร้าย หรือจะเสียชีวิตคนไปกี่คนก็ตาม ทำไมต้องรุมด่าแต่นางวันทองเพียงผู้เดียว ?
        ไม่มองผู้ชายสองคนที่ก็สำคัญเหมือนกันว่ามันผิดอย่างไรบ้าง
        ชื่อเรื่องก็บอกอยู่ว่า “ขุนช้างขุนแผน” ทำไมไปด่า “วันทอง”
        งง ??

        ขุนช้างหาเรื่องแย่งเมียชาวบ้านทั้งบนดินใต้ดิน ส่วนขุนแผนก็กระไรเลย เจ้าชู้ หาเมียไปทั่ว พี่เลี้ยงของวันทองก็ไม่วายเว้น เป็น ชาละวัน เป็น...
        โอย...หลายเคสหลายเรื่องอยู่เหมือนกัน
        มันคือความ Paradox ของสังคมไทยที่ยังไม่เลิกแนวคิดที่ว่าผู้ชายเป็นใหญ่ ผู้ชายทำอะไรก็ไม่ผิด จะมีเมียน้อยกี่คน คบทิ้งคบทิ้ง ก็ไม่คิดจะแอะปากดุด่าอะไรสักคำ
        แต่พอผู้หญิงที่บังเอิญโดนเขียนเรื่องราวให้เป็นเช่นนั้น เป็นคนสองใจ โดยการฉุดไปฉุดมาของผู้ชายของคน จนลังเลใจว่าจะอยู่กับใครดี ไม่ได้เกิดมาจากความต้องการจะควงแบบควบสองของนาง กลับถูกวิจารณ์เละเทะว่าอีนี่มันไม่ดี อีนี่แหลกเหลว ส้นตีน เหี้ย ระยำ น้อง ๆ หนู ๆ ไม่ควรเอาอย่าง แล้วก็พูดกันจนกลายเป็นนิยายหลอกเด็กไปในที่สุด คนทุกเพศทุกวัยทุกฐานะบางคนที่อาจจะมีสมองไร้เดียวสาก็เชื่อกันเป็นเบือ สมใจคนพวกนี้แท้ ๆ
        มันเป็นแนวคิดที่ “กดขี่ผู้หญิง” เป็นสองมาตรฐานทางเพศที่ทำให้เราสามารถคาดเดาได้ว่าการกดขี่ผู้หญิงยังมี อยู่ในสังคมไทย โดยที่ปัญหานี้ดูท่าว่าจะ “แก้ยาก” เอาเสียด้วย
        เพราะคนชั้นกลางและพวกหัวเก่า แม้จะมีน้อย...
        แต่ “เสียง” ของคนพวกนี้
        เสือก “ดังกว่า” เสียงของคนชั้นล่างและพวกหัวก้าวหน้า
        คนพวกนี้เสียงดังกว่า จึงสามารถกำหนดทิศทางของสังคมได้ ถึงแม้แนวคิดของคนพวกนี้ จะล้าหลังหรือขัดกับกระแสเสรีนิยมของคนรุ่นใหม่ก็ตาม
        แถมไม่คิดที่จะสนใจกระแสโลกที่มันพัฒนาไปอย่างไม่หยุดไม่ยั้งเสียด้วย
        เป็นประเภท “เต่า” ที่เอามาวางลงบนลู่ ที่มีแต่คู่แข่งประเภท “ฟอร์มูล่าวัน” เรียงรายซ้ายขวา

        ผมมองแนวคิดของคนพวกนี้ว่ามันออกจะเอียงขวาไปเยอะ เป็นประเภท “ชาติ นิยม” ล้าหลัง พร้อม ๆ กับแนวคิดยึดคุณธรรม ยึดความดี ในที่มามาดดี มาดพระ มาดแม่ชี ทำตัวดี ๆ หน่อย ก็ดัง มีแฟนคลับเป็นของตัวเอง พอ ๆ กับทีวี เพลง ละคร อะไรทั้งหลายแหล่ ที่ร้ายที่สุดก็คือ การมองว่าผู้ปกครองที่ดี จะต้องเป็นคนดี มีคุณธรรม ทั้งที่ก็มีหลักการที่จะเลือกผู้ปกครองอยู่ คือ มาจากเสียงส่วนมากของประชาชนคนเลือก
        เพราะอย่างนี้นี่เอง ชนชั้นกลางและพวกหัวเก่าจึงเชื่อคณะยึดอำนาจว่าดี เห็นชื่อว่าดี เลยคิดว่าทำดี เวลาเกิดรัฐประหาร จึงเห็นคนพวกนี้เอาดอกไม้ไปให้ทหาร ถ่ายรูปคู่กับทหาร ซึ่งภาพแบบนี้ไม่มีวันได้ไปผุดไปเกิดในประเทศที่พัฒนาแล้วแน่นอน
        แนวคิดทางการเมืองที่ขัดแย้ง ลักลั่น น่างุนงง ฉงนสงสัย มันมาเกิดที่ประเทศด้อยพัฒนาชื่อ “ประเทศไทย”
        ผมคิดว่า เวลาที่เราจะหาจุดอ่อนของตัวเอง เราไม่ต้องมานั่งสร้างภาพตัวเองโดยใช้คำพูดที่ดูดี อย่าง “ประเทศกำลังพัฒนา” ซึ่งคำพวกนี้ไปบั่นทอนการมองปัญหาของคนที่สติปัญญาไม่ค่อยดีพอ ให้คนพวกนี้ได้กระตือรือร้นในการมองปัญหาน้อยลง บางทีสิ่งบางสิ่งอาจถูกเรียกคนละอย่าง จากคนสองชนชั้น เช่น ชนชั้นล่างจะเรียกคนที่เก็บเกี่ยวข้าวเหน็ดเหนื่อยตัวเป็นเกลียว มีชีวิตขึ้น ๆ ลง ๆ แปรผันกับสภาพอากาศฟ้าดินว่า “ชาวนา” ในขณะเดียวกัน ชนชั้นสูงกับกลางจะเรียกคนพวกเดียวกันว่า “เกษตรกร” ซึ่งทำให้แง่มุมการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์มันหมดไปหรือถูกบั่นทอน
        คือ ถ้าจะบอกว่าผมไม่ดี ไม่ดียังไง ก็บอกต่อหน้าผมโพล่ง ๆ เลยว่า “ไอ้เหี้ย” บอกมาเลย ไม่ต้องมาดัดจริตเหนียมอายกัน และผมจะไม่ถือว่าเป็นคำด่าด้วย
        ผมจะได้ดูตัวเองว่ามัน “เหี้ย” ยังไง
        จะได้ไม่ต้องหลงตัวเองว่า “วิเศษ” กว่าคนอื่นเหมือนเช่นทุกวัน
        เบื่อวิธีการทางจิตวิทยาที่ว่า “องุ่นเปรี้ยว มะนาวหวาน” เพื่อปลอบประโลมจิตใจสักที
        ไอ้เรื่อง “เฟค” ตามช่องทางต่าง ๆ อยากจะ “พอกันซักที”

        กลับมาที่เรื่องของวันทอง
        นางวันทองดูจะเป็นตัวละครในวรรณคดีไทยที่ “ประหลาด” ตามความเข้าใจของบรรดาชนชั้นกลางที่มองวรรณคดีไทยแบบเข้าใจแต่ไม่ละเอียด โดยคนพวกนี้จะมองว่านางเอกของเรื่องต่าง ๆ จะเป็นคนดี เป็นกุลสตรี เรียบร้อย ทำตัวให้มีมารยาทดี เก็บเนื้อเก็บตัวให้ดี รอเจ้าชายหรือพระเอกมาเอาอยู่ในวัง หรือต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ตัวอยู่ในผอบ รอวันที่เจ้าชายสะดุดตีนมาเปิด นั่นแหละถึงจะมองว่าดี
        ก็มีแต่ “วันทอง” นี่แหละที่ไม่น่าจะเป็นนางเอกได้เลยเพราะอาการ “สองใจ”
        แนวคิดเช่นนี้ ที่ว่านางเอกจะต้องดี ดี และดี ได้กลายมาเป็นพื้นฐานของละครโทรทัศน์แทบทุกเรื่องในปัจจุบัน แทบทุกเรื่องจะเห็นได้เลยว่า พระเอกจะรวย สูงศักดิ์ ก็ไปพบ ปิ๊งกับนางเอกที่มีฐานะต่ำ จน แต่มีความดี
        คือ “ไม่รวย” แต่เอา “ความดี” มาทดแทน
        แล้วคนดูก็จะรอว่าพระเอกจะป้อ จะล่อ จะม่อ นางเอกกันอย่างไร

        เห็นจะมีละครโทรทัศน์เรื่องหนึ่งซึ่งมีความ “ประหลาด” กว่าเรื่องอื่น ๆ จนเรียกได้ว่าแทบจะเอาก้นชนกันเพราะมันเป็นคนละแนวกัน ก็คือ ละครที่จบกันไปเกือบครึ่งปีที่ช่วงนั้นก็มีการวิจารณ์กันมันปากมันตับ แถมมันตีนอีกต่างหาก
        ใช่...
        “ดอกส้มสีทอง” นั่นเอง
        เมื่อพูดถึง “ดอกส้มสีทอง” จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่พูดถึงนางเอกที่มีชื่อว่า “เรยา”
        บางคนอาจจะตั้งคำถาม สงสัย และก่นด่าไปด้วยว่าทำไม...
        “เรยา” ถึงได้เป็น “นางเอก ?!”
        และบางคนก็อาจจะเห็นการแสดงของ “เรยา” ที่ถือได้ว่า “แรง” และ “เลว” พยายามที่จะหาผัวรวย ๆ ได้ทุกทางโดยไม่สนใจใคร แค่ฟังเพลง “ให้เลวกว่านี้” ที่ปาน ธนพร ร้องประกอบละครเรื่องนี้ก็สามารถอธิบายได้แล้วว่าเป็นอย่างไร
        หลายคนจึงสงสัยว่า อีนี่ไม่มีอะไรเหมาะสมเลยที่จะเป็นนางเอก แถมปากคอเราะร้าย มีอยู่ เป็นอยู่ ไม่เคยเจียมตัว ต้องการ โหยหิว ไปเรื่อย ๆ ทั้งเงินทอง ทั้งผัว กินไม่เลือก แถมยังด่าพ่อล่อแม่แบบไม่แคร์หนังหน้าใคร ๆ ทั้งสิ้น
        ก็จะเกิดสิ่งเดิม ๆ ก็คือ “กลัว” ว่าเยาวชนจะเอาสิ่งนี้ไปเป็นเยี่ยงอย่าง ไปปฏิบัติตามให้สังคมเกิดความเสียหาย แล้วศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรมก็จะเรียงหน้าออกมาถล่มคนเขียน คนทำ คนกำกับ ว่าจะทำให้วัฒนธรรมไทยเสื่อม จนประชาชนคนดู “มึนตึ้บ” ไปหมด ไม่รู้ว่าตีนใครเป็นตีนใคร สุดท้ายก็ “เมาหมดสติ”
        เยี่ยง “หมา”

        ประเด็นที่คนที่ชอบอ้างว่าตัวเอง “รัก วัฒนธรรมไทย” จะงัดออกมาเล่น ก็คือ เรยาไม่รู้จักรักษาวัฒนธรรมไทยที่ดี ไม่เป็นกุลสตรี เลวทั้งกาย วาจา ใจ ไม่สนใจใครว่าจะมองยังไง
        อีหรอบเดิมก็คืองัดเอาวัฒนธรรมไทยมาสู้กับ “เรยา” ทุกรูปแบบ ชูสิ่งที่คิดว่ามัน “ดีงาม” จนน่าเวียนหัว
        คือ คนพวกนี้น่าจะเสพละครแบบที่นางเอกดีแบบไม่มีที่ติ ไม่แรด ไม่ร่าน ยั่วยวนพระเอก นมเล็ก นางร้ายต้องนมโตเท่าลูกมะพร้าว สวยกรีดใจผู้ชาย แรดร่านให้ถึงใจ ซึ่งลักษณะของนางร้ายแบบนี้คนพวกนี้มักจะไม่นิยมเป็นหรือมีนิสัยแบบนั้น (ส่วนมากจะเกิดจากอาการดัดจริต ฝืนใจ จนบางครั้งก็ไม่แนบเนียน) ทว่า กลับไปห้ามนางเอกไม่ให้เป็นเช่นนั้นด้วย
        แล้วมีสิทธิ์อะไรที่จะบังคับให้นางเอกละครต้องเป็นเช่นนั้น ?
        ผมบอกไว้เลยนะครับว่าถ้าพวกคุณจะเอาอดีตมาอ้างว่าตอนโน้นมีแต่สิ่งดีงาม ผู้ชายผู้หญิงคบหากันจริงใจ อยู่ในวัฒนธรรมอันดีงาม ลูกต้องมีลักษณะแบบกตัญญูกตเวทีจนแทบจะตกเวทีเวลาขนดอกมะลิไปไหว้ที่ โรงเรียนสมัยอยู่อนุบาล นั่นคือมายาคติที่จะหลอกเราว่าบ้านเมืองแต่ก่อนมีแต่ความสงบ งดงาม เหมือนความฝัน ที่คนพวกนั้นกำลังฝันอยากให้ไปเป็นแบบนั้น (ก็คงจะเป็นความฝันลม ๆ แล้ง ๆ เพราะสมัยก่อนมันก็ไม่ใช่แบบที่คนพวกนั้นคิด)
        อยากให้ลองไปหาบทละครนอกเรื่อง “มโนห์รา” ฉบับหอสมุดแห่งชาติมาอ่านดูครับ
        มโนห์ราเป็นนางเอกในวรรณคดีไทยที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงในทางลบ เสียหาย เท่ากับนางวันทอง แต่ภาพลบของนางมโนห์รานั้นอาจจะ Radical ไปแบบถ้าเป็นตัวเป็นตนในปัจจุบันก็อาจจะทำให้ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรมต้อง เนื้อเต้นเป็นจังหวะแทงโก้ก็อาจจะเป็นได้
        ตึ้บ...ตึ้บ...ตึ้บ ตึ้บ ตึ้บ กันเลยทีเดียว

        อยากให้ท่านอ่านบทความ “The good old days ?” ของ “นิพัทธพร เพ็งแก้ว” หรือ “นางมโนห์รา ด่าเป็นไฟ” ของ “สุจิตต์ วงษ์เทศ” หรือจะไปค้นหาเทปรายการ “คิดเล่นเห็นต่างกับคำผกา” ซึ่งจัดโดย “ลักขณา ปันวิชัย” หรือ “คำ ผกา” ในตอนที่ชื่อว่า “จาก ลัดดา ถึง เรยา” ซึ่งออกอากาศในวันที่ 15 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ซึ่งทั้งสองส่วนนี้ต่างกล่าวถึง “มโนห์รา” ว่านอกจากความสวยแล้ว ยังมีอะไรบางสิ่งที่เรา ๆ ก็คาดไม่ถึง
        ขอยกข้อความบางส่วนของ The good old days? มาอ้างอิงครับ

        วันเก่าๆ ของเมืองไทย ในเรื่องสัมพันธภาพทางเพศนั้น มันงดงามอย่างที่เชื่อกันมาจริงๆ ด้วยหรือ­ มันเคยมี the good old days  อยู่จริงแค่ไหน­ เมืองไทยเมื่อก่อน วัยรุ่น หญิง-ชาย ผัวๆเมียๆ ในสังคม เขาเคยอยู่กันมาอย่างไร
        แต่ก่อนดิฉันก็เชื่ออย่างที่เชื่อๆ กันมานั้นแหละ แต่การลงทำงานภาคสนามเก็บข้อมูลจากชาวบ้านมากมาย มันคนละเรื่องกันไปเลย หลักฐานในงานวรรณกรรมเป็นลายลักษณ์อักษร มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลาง รุ่นบรรพบุรุษเราเลย รุ่นแสนจะ “คลาสสิค” ของไทยนั้นแหละ รุ่นที่เราเชื่อๆ ว่าบ้านเมืองดีสงบงดงาม ผู้คนอยู่กันเหมือนภาพในฝัน ลองไปอ่าน “บทละครครั้งกรุงเก่าเรื่องนางมโนห์รา” ฉบับหอสมุดแห่งชาติดูเถิด นั่นน่ะบอกชัดเลยว่า ผู้หญิงไทยเคยอยู่กันมาอย่างไร และแม่ด่าลูก ลูกด่าสวนกลับแม่ มันรุนแรงยิ่งกว่าปากตะไกร ยิ่งกว่าเอาน้ำกรดสาดในสมัยนี้ ซะด้วยซ้ำ  เพราะอีตอนที่หม่อมแม่ห้ามนางมโนห์รา ไม่ให้ติดปีก ”บิน” ออกไป “แร่ด” เล่นน้ำ หม่อมแม่อ้างสารพัดทั้งความรัก ความหวง ความห่วงลูกสาว จนนางมโนห์รา “นางเอก” จากนิทานชาดกถึงกับตัดพ้อยอดคุณแม่เอาอย่างถึงพริกถึงขิงเลยว่า “น่าสงสารพระมารดา อนิจจามาหวงลูกเอาไว้ แก่แล้วแม่จะค่อยให้ ผู้ชายที่ไหนจะเหลียวแล ธรรมเนียมมาแต่ไหน ใหญ่ใหญ่มานอนอยู่กับแม่ แกล้งหวงเอาไว้ให้เฒ่าแก่ ผู้ชายมาแลก็น่าเกลียด”
        อันนี้ลูกสาวสมัยอยุธยาพูดเองเลยว่า หวงไว้แต่ในบ้าน ได้แก่คาบ้าน ชะดีชะร้ายหาผัวไม่ได้พอดี คราวนี้คุณแม่สมัยอยุธยาถึงกับลมออกหู แว้ดใส่เลยว่า “ตัวเจ้ายังน้อยสักเท่าเขียด เจ้ามาวอนแม่จะมีผัว ....ลูกเอยจะเลี้ยงเอาผัวแขก ลูกเอยจะเลี้ยงเอาผัวไทย เลี้ยงไว้ให้หนำใจ ส่งให้อ้ายมอญมักกาสัน ส่งให้อ้ายจีนปากมอด ให้มันกอดจนตายดั้น อ้ายมอญมักกาสัน ส่งให้ญี่ปุ่นหัวโกน เลี้ยงลูกชาวบ้านเอย อีนี่ใจยักษ์ใจโลน อ้ายญี่ปุ่นหัวโกน หนำใจผู้เจ้ามโนห์รา”
        นางมโนห์ราโดนด่าขนาดนี้ ว่าจะออกไปมีผัวนานาชาติรึไง มีหรือนางจะน้อยหน้า นางด่าแม่กลับเอาเลยว่า “ลูกไทเจ้าแม่เอย  แม่ให้ผัวไทยแก่ลูกรา จีนจามพราหมณ์คุลา ลูกยาจะเอามันทำไม เชิญแม่เอาเองเถิดนางไท เป็นผัวพระราชมารดา”
        คราวนี้แม่-ลูกตะลุมบอน แลกหมัดคนละตุบละตับ ด้วยคำแสบเจ็บใจอย่างไม่ต้องยั้ง
        “เลี้ยง ลูกชาวบ้านเอย อีนี่ใจแข็งใจกล้า กูจะพลิ้วหิ้วขา หน้าตากูจะตบให้ยับไป ไว้กูจะหยิกเอาหัวตับ ไว้กูจะยับเอาหัวใจ ปากร้ายมาได้ใคร พวกอีขี้ร้ายชะลากา ขวัญข้าวเจ้าแม่อา ตัวแม่ก็ทำเป็นไม่สู้ รู้มากอีปากกล้า มึงไปได้มาแต่ไหน พระพายพัดไป สมเพชลมพัดอีดอกทอง”
        อย่าลืมนะจ๊ะ ว่านี่เป็นสำนวนของแม่รุ่นอยุธยา สมัยคลาสสิคของไทยด้วยนะจ๊ะ ไม่ใช่คนถ่อยๆ สมัยนี้พูดกัน แม่รุ่นโบราณนั้นเขาให้พรลูกสาวอย่างเป็นสิริมงคลมาแล้วว่า “อีดอกทอง” ส่วนลูกนั้น อนิจจังอนิจจา...สวนกลับได้สาหัสหนักหนา ทำให้แม่เต้นโลดแทบถลามาตบเอาได้ เพราะลูกจะ “ดอกทอง” เหมือนใครล่ะ ถ้าไม่ใช่ “นางแม่ของลูกอา แม่มาด่าลูกไม่ถูกต้อง ทั้งพี่ทั้งน้อง เหล่าเราดอกทองเหมือนกัน ดอกทองสิ้นทั้งเผ่า เหล่าเราดอกทองสิ้นทั้งพันธุ์ ดอกทองเสมือนกัน ทั้งองค์พระราชมารดา”

        ผมนั่งดู นั่งฟัง นั่งอ่านไป ก็มีแต่จะสูดปากซี้ดกับความจัดจ้านของบทละครนอกเรื่องนี้ ที่เรียกว่ามโนห์รา “ไม่ยอมใคร” แม้แต่แม่ตัวเองที่พยายามจะห้ามไม่ให้ไปลงเล่นน้ำกับพี่ ๆ เพราะกลัวจะถูกพรานบุญลักพาตัวไป
        อะไรก็มิทราบ แล้วทำไมถึงมาตัดสินว่าอันนี้ผิด อันนี้ไม่ผิด หรืออันนี้ผู้แต่งไม่มีชีวิตที่จะรอการวิจารณ์ จึงไม่วิจารณ์
        จึงเห็นมาตรฐานที่ไม่ใช่เป็นเพียง “สองมาตรฐาน” แต่มันเป็น “หลาย” และ “หลาย ๆ มาตรฐาน” ที่มีอยู่กับละคร วรรณคดีไทย
        ปัจจุบันกับอดีตก็มีเรต มีมาตรฐานที่ต่างกัน แถมในอดีตก็ยังมีเรตที่ต่างกันอีก อย่างวันทองทำไมถึงดอกทอง ระยำ สองใจ เผื่อเลือก แรด ร่าน แล้วทีมโนห์ราล่ะ
        นิ่ง...
        เหมือนโดน “ส้นตีน” ยัดปาก
        หรือเพราะมโนห์ราไม่ใช่วรรณคดีที่เป็นบทหลักในการศึกษาในระบบอย่างขุนช้าง ขุนแผน สามก๊ก ราชาธิราช พระอภัยมณี ที่เรา ๆ รู้จักกัน จึงไม่มีใครมาสนใจก้นบึ้งลึก ๆ ว่าตัวละครที่เรานั่งนึกชมว่าสวย ๆ แล้ว จะมีด้านลบแบบที่เราไม่คาดถึง

        ทั้งหมดทั้งปวงนั้นก็คือการพิจารณาว่าทำไมวันทองกับเรยาถึงโดนคนที่เคร่ง ศีลธรรมจรรยา “จัดหนักจัดเต็ม” ได้มากขนาดนี้ โดยที่เราอาจจะลืมไปว่าไม่ใช่เฉพาะทั้งสองคนเท่านั้นที่ทำให้เธอ ๆ ต้องเลว
        ถ้าจะให้มองถึงเรยา ก็แปลกประหลาดอยู่ว่าทำไมเรามานั่งด่าถึงความแรดร่านของเรยา จนลืมไปว่ายังมีสาเหตุปัจจัยอื่น ๆ อีก คือ ความชั่วของเจ้าสัวซึ่งมีเมียหลายคนและวันดีคืนดีก็ฆ่าเมียด้วยวิธีการสุด โหด
        รุนแรงกว่าเรื่องแย่งผัวเมียชาวบ้านเอาเสียอีก
        นั่นคือ โลกทัศน์ที่คับแคบไม่รอบด้านของชนชั้นกลางและพวกหัวเก่าที่ยังสำแดงอำนาจล้า หลัง ป่าเถื่อนกันในสังคมไทย ไม่ยอมรับกระแสความคิดแบบเสรีนิยมยุคใหม่ที่กำลังเข้ามาแบบน้ำท่วมน้ำหลาก
        ยึด “ความดี” ของบุคคลมากกว่า “ความสามารถ” และ “ความถูกต้อง”
        ทำให้ประเทศไทยต้องยุ่งเหยิงเพราะ “สงครามอำนาจ” กันอยู่ในขณะนี้

        “วันทอง” กับ “เรยา”
        ตัวละครต่างยุคต่างสมัย
        แต่ “โดนด่า” เละเหมือนกัน
        ถ้าจะให้ดัดจริตทำตัวเป็น “เอกยุทธ อัญชันบุตร” ผสมกับ “หนูดี” ก็คงจะบอกลักษณะนี้ได้ว่า
        “ขอพูดอะไรแรง ๆ สักครั้งในชีวิต...
        ไปเป็นกะหรี่ซะไป...!!”

20 พฤศจิกายน 2554

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ใกล้ตาย (ทั้งเธอและฉัน) (ฉันท์ผสมระหว่างกลอนหก+กลอนเปล่า)

        ใกล้ตาย ย้ำว่า “ใกล้ตาย”
        ใกล้ตาย ทั้งเธอ และฉัน
        ใกล้ตาย ทั้งที่ ใกล้กัน
        ไกลกัน ก็ยิ่ง ใกล้ตาย !!

        เธอใกล้จะตายเพราะ “โรค” กำเริบ แต่...
        ฉันใกล้จะตายเพราะ “ความแค้น” กำเริบ !!

        สุมเข้า สุมเข้า เร้าจิต
        แนบชิด ติดทรวง มากเข้า
        สุมฟืน ก่อไฟ ในเรา
        ยากเอา แยกออก นอกใจ !!

        ได้ยินข่าวของเธอแล้ว
        เริ่มคิด
        จะห่วงใยดีไหม
        จะดูแลดีไหม
        เสียเวลาคิด
        เสียแรงสมอง
        ตั้งนาน...

        ความรู้สึกทั้งหมดมันหมดไป
        เมื่อรู้ “ความจริง”
      
        ความจริงที่ฉันพูดไม่ออก
        เธอ “แท้ง !!”

        คำ ๆ นี้มัน “หุบปาก” ฉันลง
        ฉันได้แต่นิ่งเงียบ
        พูดไม่ออก
        และใกล้จะตาย...

        ร้องไห้ เพราะเจ็บ กับเหงา
        อีกเศร้า เพราะมัว เพ้อฝัน
        รู้ว่า สองเขา เอากัน
        งงงัน จิตตก ชกตัว

        ร้องไห้ เพราะเจ็บ กับเหงา
        นั่นสิ ฉันเศร้า ถ้วนทั่ว
        สองปี ที่หลง เมามัว
        เจอเธอ มีผัว ส้นตีน !!!

        ฉันร้องไห้
        ใช่...!
        “ฉันร้องไห้”
        ผิดอะไรที่ผู้ชายจะร้องไห้
        ในเมื่อน้ำตามันก็มีกันทุกคน

        ฉันเจ็บ
        ใช่...!
        “ฉันเจ็บ”
        ผิดอะไรที่ผู้ชายจะเจ็บ
        ในเมื่อความเจ็บมันก็เกิดได้กับทุกคน

        ฉันเศร้า
        ใช่...!
        “ฉันเศร้า”
        ผิดอะไรที่ผู้ชายจะเศร้า
        ในเมื่อความเศร้ามันก็เกิดได้กับทุกคน

        ฉันเหงา
        ใช่...!
        “ฉันเหงา”
        ผิดอะไรที่ผู้ชายจะเหงา
        ในเมื่อทุกคนก็เคยเหงากันทั้งนั้น

        มันคือ “สัจธรรม”
        ความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
        ไม่อยากจะเห็น
        แต่มันเป็น...
        จะเป็น...
        ต้องเป็น...
        และจะต้องเป็น...!!

        มันคือ “สัจธรรม”
        สัจธรรมที่ทำให้ฉันต้องเอามือปิดหน้า
        ร้องไห้ข้างโต๊ะเรียนตัวเก่า
        เงียบ ๆ
        และ...
        เงียบ เงียบ...

        ในขณะที่ผู้หญิงหลายคน กินสัตว์ตัวผู้เป็นอาหาร
        ก็มีผู้หญิงบางคน
        ที่ชอบกิน “มนุษย์ตัวผู้” เป็นอาหาร !!

        อยากตาย ย้ำว่า “อยากตาย”
        อยากตาย ให้มัน สาสม
        อยากตาย ให้สุด อารมณ์
        อยากตาย ให้สม แก่ใจ !!

        หมดเวลาอยู่สำหรับฉันแล้ว
        โลกใบนี้
        มันเหมาะกับตัวฉันจริงหรือเปล่า
        สิงสถิตอยู่มาเกือบสองทศวรรษ
        สงสัย...
        มันเหมาะกับฉัน เหมาะที่ฉันจะอยู่
        หรือเปล่า...?!

        สงสัย ย้ำว่า “สงสัย”
        สงสัย ในโลก ที่อยู่
        สงสัย ในความ ไม่รู้
        ยืนดู หยุดคิด ปิดตา

        ลวงโลก ย้ำว่า “ลวงโลก”
        ลวงโลก โลกลวง แผ่หลา
        ลวงหลอก กลอกกลิ้ง ยิงมา
        ไม่เบื่อ สายตา หรือไร ?!

        นอกจากเธอจะเป็นคนที่ฉัน (เคย) รัก
        เธอยังโกหกเก่ง
        ตลบตะแลง
        ปลิ้นปล้อน
        ตอแหล
        โกหก
        ปลาไหลเรียกพี่
        กะหรี่เรียกแม่
        ถ้าคุณแน่
        อย่าร่านแพ้มัน...

        พอแล้ว ย้ำว่า “พอแล้ว”
        พอแล้ว พักบ้าง ทางฉัน
        พอแล้ว เป็นไง เป็นกัน
        ให้รู้ ว่าฉัน พอแล้ว !!

        ไม่ใช่เซน
        แต่อยากถามว่า
        เราอยู่ไปเพื่ออะไร ?!

        กิน...
        ใช่ เราต้องกิน
        เพื่อไม่ให้ร่างของเราเป็นเหมือนทารก

        ขี้
        ใช่ เราต้องขี้
        เพื่อไม่ให้ริดสีดวงรับประทาน

        นอน
        ใช่ เราต้องนอน
        เพื่อไม่ให้ร่างกายเราโทรม

        แล้ว “ปี้” หายไปไหน ?!

        ปี้...
        ใช่...!
        ปี้...
      
        เราไม่จำเป็นต้องปี้
        ชีวิตคนไม่ต้องหาเรื่องทดลองตั้งแต่ตอนนี้หรอก
        คนไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนั้นอย่างเดียว
        ถ้าจะเกิดมาเพื่อเอากัน
        อย่าเกิด...!!

        ลาก่อน ย้ำว่า “ลาก่อน”
        บทกลอน ใกล้ทบ กลบเกลื่อน
        ความรัก ใกล้จบ ลบเลือน
        ไม่มี แม้เพื่อน พอที !!

        ลาก่อน คน (ที่ เคย) รัก
        ลาก่อน ผ่อนพัก หักหนี้
        ลาก่อน ต้องพอ กันที
        ชาตินี้ ไม่มี อีกแล้ว !!

15 พฤศจิกายน 2554

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

'เพศที่สาม' วิถีชีวิตและความเชื่อภายใต้ 'มายา' ของสังคมที่ดันทุรังเรี่อง 'เพศสภาพ' โดย ก้อนอิฐ

        แต่ก่อนผมเป็นคนที่เคร่งครัดในระบบเพศหญิงเพศชายมาก จนมองว่าพวกที่แสดงตัวที่ผิดไปจากเพศของตัวเอง อันที่เขาเรียกกันว่า “เพศ ที่สาม” เช่น เกย์ เลสเบี้ยน ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในโรงเรียน ที่ทำงาน ชุมชน สังคม เป็นพวกจิตใจวิปริต ไม่รักเพศตัวเองที่พ่อแม่ให้มา ไม่มีความภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองมี และคิดเสียดายศักยภาพทางด้านเพศของคนพวกนี้แทน อีกทั้งเคยภาวนาว่าเกิดมากี่ชาติ ๆๆๆๆ ก็ขอให้เป็นผู้ชายทุกชาติ
        สรุป คือ มองเพศที่สามในด้านลบ ไม่อยากคบ รังเกียจ ขยะแขยง ด้วยความที่เชื่อว่า เพศที่มีอยู่ในโลก มีสองเพศเท่านั้น คือ “ชาย” และ “หญิง” และคนที่เกิดมาต้องซื่อสัตย์ต่อเพศที่พ่อแม่ให้มา
        แต่พอมาพบว่า จำนวนคนที่เป็นเพศที่สามโดยเฉพาะในโรงเรียนซึ่งเป็นสังคมประจำที่เราพบเจอ กันบ่อย ๆ ก็มีมากขึ้น และบุคคลเหล่านั้นหลายคนด้วยกันมีศักยภาพ มีความสามารถ จึงทำให้ผมพิจารณาตัวเองดูว่า อดีตเราทำอะไรไว้บ้าง และจึงเปลี่ยนความคิดเป็นตรงข้าม
        เราจะเห็นได้อย่างง่าย ๆ ว่าในสังคมไทยเชื่อว่าเพศมีเพียงสองเพศ ตาม “เพศสภาพ” คือ สภาพของสรีระเชิงโครงสร้าง แบ่งเป็นชายกับหญิง หากมีคนแหลมหน้าออกมาทำอะไรที่ผิดแผกกับธรรมเนียมด้านเพศละก็ ก็จะดูถูกเหยียดยาม ถูกประณาม ถูกนั่นถูกนี่ สารพัดนานา เอาจนให้อับอายเดินไปไหนมาไหนได้
        ในปัจจุบันสังคมไทยยังไม่มีการเปิดกว้างยอมรับเพศที่สามมากพอทั้ง ๆ ที่เพศที่สามมีจำนวนมากขึ้นทุกวัน ๆ เราที่อาจจะติดกับภาพที่ชนชั้นในสังคม “ตีกรอบ” ว่าเพศที่สามจะเป็นเช่นนี้ ๆๆ เอาให้จำง่าย ๆ ก่อนที่จะทำตัวขยะแขยงรังเกียจกันไปตามระเบียบ
        นอกจากนี้ยังมีการจัดมาตรฐานเพศที่สามที่จะได้รับการยอมรับจากสังคม เช่น ต้องเป็นผู้มีความประพฤติดี อย่างที่ “คำ ผกา” เขียนไว้ว่า ต้องเป็น “กุลกะเทย” จะต้องรำไทย ไม่แรด ไม่ร่านให้เป็นที่เปิดเผยต่อสังคม เป็นต้น
        จริงหรือไม่ที่โลกจะต้องถูกบังคับให้มีเพียงสองเพศ ?!

        มีปัจจัยอยู่หลายประการด้วยกันที่ทำให้บุคคลภายใต้เพศสภาพ (เพศตามสรีระ/อวัยวะสืบพันธ์) ต้องมีลักษณะการแสดงออกที่มีความตรงข้ามกับเพศสภาพของตัวเอง
        อย่างที่ต้องเข้าใจที่สุดอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ความผิดปกติทางพันธุกรรม อาจมีลักษณะยีนคู่ที่ 23 ผิดปกติ ขาดหรือเกิน จนกลายเป็น 45 หรือ 47 แท่ง เช่น XO,XXY,XYY เป็นต้น ตามที่เรา ๆ โดยเฉพาะเด็กวิทย์ที่ได้เรียนมาตอน ม.6 หรือเรา ๆ โดยทั่วไปที่เคยเรียนมาบ้างตอน ม.3 เราอาจจะเคยเขียนความน่าจะเป็นในการมีบุตรมาแล้ว โยงใยทั้งในเรื่องยีนเพศ ยีนโรค หรือลักษณะเด่น-ด้อย แบบเมนเดล
        มนุษย์บางคนมีเพศที่กำกวม จนเป็นปัญหาทางการแพทย์มาแล้ว ก็ต้องเลือกเพศสภาพที่เป็นไปได้มากกว่า เช่นมีองคชาตในขณะเดียวกันก็มีช่องคลอดด้วย ก็ต้องเลือกสภาพที่เป็นไปได้มากกว่า แต่เมื่อเติบโตมาก็อาจจะมีการแสดงออกที่ผิดแผกแตกต่างกับเพศสภาพ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าเพศสภาพไม่สามารถตัดสินการแสดงออกหรือรสนิยมทางเพศได้
        ทว่า นอกจากปัญหาทางพันธุกรรมแล้ว อีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นเหตุผลเกื้อกูลให้เพศที่สามเกิดขึ้น คือ การปฏิบัติตนของผู้นั้น
        ไม่มีหลักหรือทฤษฎีตายตัวครับว่าเพราะเหตุใดทำไมคนเพศหนึ่งจึงมีการแสดงออก ที่เป็นตรงข้ามกับเพศสภาพของตัวเอง แต่มันเป็นลักษณะเฉพาะตัวซึ่งแล้วแต่คนจะเลือกเอา
        แม้แต่ตัวเราเอง เราต้องยอมรับว่า ที่เราเป็นเพศชายเพศหญิงกันอยู่นี้ ก็ใช่ว่าจะมีความเป็นชาย เป็นหญิงแบบ “เต็มร้อย” นะครับ ขนาดชายก็ยังมีความแตกต่างกัน ทั้งในด้านร่างกาย ทั้งนิสัย บุคลิกภาพ คุณลักษณะ ซึ่งถ้าสิ่งเหล่านี้จะบังคับกันได้ละก็ มนุษย์ชุดนี้ก็คงจะไม่ต่างจาก “หุ่นยนต์” ที่บังเอิญ “มีลมหายใจ” นั่นเอง

        การดำรงอยู่ของเพศที่สามในสังคมไทยนับว่ามีปัญหาเป็นอย่างมาก เนื่องจากในสังคมมีคนที่เชื่อในเพศสภาพอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งคนพวกนี้จะว่าเป็นพวกหัวล้าหลังหรืออนุรักษ์นิยมก็ว่าได้ คือ ไม่ยอมรับความจริงแห่งโลก ไม่ยอมรับว่าปัจจุบันแห่งโลกมีความเป็นไปอย่างไร เปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน  
        คนเหล่านี้จะมองว่าเพศที่สามเป็นตัวกัดเซาะบ่อนทำลายวัฒนธรรมที่ดีของไทย เนื่องจากเชื่อในข้อมูลสำเร็จรูปที่ว่า เพศที่สามต้องเป็นแบบนี้ ๆ จนฝังใจ เช่น กะเทยจะต้องมีนิสัยแรด ร่าน จ้องจะจับผู้ชายกิน แล้วก็ลามไปถึงผู้ชายที่มีรสนิยมรักผู้ชายด้วยกันว่า วิปริต มีให้เอาไม่ชอบ
        ก็มีความแปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือ การดำรงอยู่ของ “ทอม” เลสเบี้ยนที่มีความเป็นชายในร่างกายผู้หญิง มักจะได้รับการยอมรับมากกว่า เพราะมีคุณสมบัติที่ห้าวหาญ ค่อนกระเดียดไปทางผู้ชาย
        คือ นอกจากสังคมจะไม่ค่อยยอมรับเพศที่สาม (โดยเฉพาะเกย์) แล้ว ยังยึดถือผู้ชายเป็นใหญ่อีกต่างหาก โดยเราจะยอมรับคน (แม้แต่ผู้หญิงทอม) ที่มีลักษณะคุณสมบัติความเป็นชายในวงการต่าง ๆ แต่ถ้าเป็นหญิง (ไม่ว่าชายเกย์หรือหญิง) ก็จะถูกนั่นถูกนี่ต่าง ๆ นานา ให้เสียเกียรติกันเป็นว่าเล่น
        การแปลงเพศไม่ว่าจะชายหรือหญิงถูกคนเหล่านี้ก่นด่าว่าทำให้สังคมเละเทะ เน่าเฟะ ปลูกฝังให้คนไม่รักเพศของตัวเอง
        อาชีพที่เป็นไปของเพศที่สาม ก็จะถูกคนพวกนี้เชื่อและพยายามขีดกรอบว่าต้องจำกัดว่าให้อยู่เป็นที่ ๆ เช่น ไม่รำไทย ร้อยมาลัย ก็ต้องไปเต้นรูดเสาอยู่แถวพัฒน์พงษ์ ทองหล่อ เอาให้สุดโต่งไปเลย ไม่ข้างหนึ่งก็อีกข้างหนึ่ง
        เวลาเพศที่สามจะคบใคร ก็ต้องเลือกคบแต่เพศเดียวกัน เช่น กะเทยคบเกย์ (รุก) ทอมคบเลสเบี้ยน (ดี้) จะผิดเป็นแบบอื่นมิได้
        สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็น “มายา” ชนิดหนึ่งซึ่งเราจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันไม่มีอยู่ เพราะความเชื่อแบบนี้ฝังตัวกันอยู่ทั่วไป สลิ่ม ไม่สลิ่ม ก็มีกันถ้วนทั่ว

        สลิ่มบางคน นอกจากจะมีความเชื่อวิปริตทางการเมือง เช่น ร่ำไห้กับเศษกระจกในห้างที่ตัวเองเดินเวลาโดนเผามากกว่าชีวิตคนที่ต้องตายไป อย่างไม่สมควรตาย การยึดอำนาจของทหารเป็นการรักษาประชาธิปไตย คนที่ออกมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมนั้นเห็นแก่เงิน ทำเพื่อคน ๆ เดียว โดยที่ไม่มองดูในใจของพวกเขาว่านอกจากนี้แล้วจะมีอะไรอีกบ้างที่เขาต้องการ ด่ารัฐบาลว่าไม่สามารถปกป้องกรุงเทพฯ จากน้ำท่วมได้ ด่าสาดเสียเทเสียว่าห่วยแตกแหลกลาญ
        ว่าแล้วก็ขอไปเที่ยวเชียงใหม่ ภูเก็ต ตามประสาคนอยากไป เหมือนไม่เดือดร้อนอะไร
        เรื่องเพศก็เช่นเดียวกัน สลิ่มอาจจะดูถูกเพศที่สามว่าทำให้สังคมเสื่อม พินาศ บางคนไม่ด่าตรง ๆ แต่แอบเนียน ๆ ก็เช่นรายการ “ตีสิบ” ที่มีแนวคิดรักษาขนบเพศสภาพไว้ โดยที่กัดจิกเพศที่สามอย่าง “ผู้ดี”
        กระแดะ ดัดจริต สลิ่ม ฯลฯ

        หารู้ไม่ว่า บุคคลสำคัญของสังคมไทยในด้านต่าง ๆ ก็มีเพศที่สามที่มีหน้ามีตาในวงการนั้น ๆ เยอะ เช่น คุณมดดำ คุณม้า และอีกมากมายที่เรา ๆ ก็รู้ เห็นกันอยู่ทุกวัน
        บางทีเพื่อนบ้านของเราก็อาจจะเป็นเพศที่สามก็ได้ ทั้งที่เรารู้ตัวและไม่รู้ตัว
        จึงไม่มีเหตุผลเลยที่คนเหล่านี้ (รวมทั้งเราด้วย) จะต้องรังเกียจรังงอนเพศที่สาม
        การที่เราจะเลือกว่าเราจะทำตัวแบบไหน อย่างไร มันคือ “เสรีภาพ” อย่างหนึ่ง ที่เรามีอยู่ ใครจะห้ามเราไม่ได้ คนอื่นต้องเคารพในเสรีภาพของเรา ในขณะเดียวกันเราก็จะต้องเคารพในเสรีภาพของคนอื่นด้วย เช่นกัน
        เราสามารถเลือกเพศที่เราจะแสดงออกได้แบบอิสระ หรือเพศของเราสามารถลื่นไหลไปตามรสนิยมได้ มันคือตัวเราที่จะเป็น จะมี จะได้ คนอื่นไม่มีสิทธิ์มาเสร่อยุ่งกับตัวเรา
        วันนี้เราเป็นผู้ชาย อีกวันหนึ่งเราอาจจะเป็นเกย์ กระตุ้งกระติ้งตามเพื่อน เกิดวันข้างหน้าเบื่อเข้า กลับมาเป็นผู้ชาย ก็ได้
        แล้วเรื่องที่จะคบ จะเอากัน ไม่ใช่ว่าจะต้องขีดกรอบว่าเกย์ต้องคบเกย์ เลสเบี้ยนต้องคบเลสเบี้ยนเท่านั้น เราจะคบหาดูใจแบบข้ามห้วยกันก็ได้ แบบว่า เกย์กับเลสเบี้ยน ก็มี
        โรงเรียนของผมก็จะเห็นเกย์กับเลสเบี้ยน เดินควงกันหลายคู่ เป็นเรื่องปกติ เพราะในสังคมระดับสถานศึกษา ซึ่งแน่นอนว่าวัยรุ่นจะมีแนวคิดใหม่ ๆ ทันโลก จะมีการยอมรับเรื่องเพศที่สามกันมากขึ้น ด้านการแสดงออกต่าง ๆ มีศักยภาพที่สามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีอนาคตได้
        สิ่งที่ยังต้องทำต่อไป สำหรับเพศที่สาม ก็คือ จะต้องเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ ที่พึงมีพึงได้ของเพศที่สามให้มากขึ้น ให้มีกฎหมายรองรับการแต่งงานของคนเพศ (สภาพ) เดียวกัน และไม่จำเป็นว่าแต่งงานแล้วจะต้องมีลูก หาลูก ซึ่งมันเป็นกรอบของระบบครอบครัว ความจริงเรายังมีประเด็นที่ต้องต่อสู้กันอีกเยอะแยะ เช่น ประเด็นด้านกฎหมายต่าง ๆ ที่มีข้อจำกัดสำหรับคนเหล่านี้ เป็นต้น

        สรุป คือ เราไม่ควรที่จะดูถูกเพศที่สามในแง่ประเด็นใด ๆ ก็ตาม เพราะเพศที่สามก็เป็น “คน” เหมือนกัน และอาจจะมีศักยภาพในด้านต่าง ๆ ที่เยี่ยมยอดกว่าเราก็เป็นได้ เขาเหล่านี้มีสิทธิเสรีภาพที่จะทำงานทำการต่าง ๆ ได้ จะเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้
        เราไม่ควรที่จะโจมตีพวกเขาในเรื่องของเพศที่เป็น แต่ควรที่จะเล่นกันในเรื่องความสามารถ ว่าดี ด้อย อะไรอย่างไร มากกว่าครับ
        ถ้าเป็นไปได้ จะหาเวลากลางค่ำกลางคืน ดักตีหัวสลิ่มที่มีความคิดวิปริต สักทีสองที เผื่อความจำเสื่อมแล้ว ความคิดและค่านิยมที่ยอมรับความเป็นมนุษย์ ความเป็นจริงของโลกจะเข้ามาสิงสู่แทนความคิดอัปลักษณ์บ้า ๆ บอ ๆ ก็ยอม

        ถ้าเกิดว่าผมอกหักจากผู้หญิงคนที่คบอยู่สักที
        จะไปเป็น “เกย์” แล้วทีนี้ !!
        ล้อเล่น...

12 พฤศจิกายน 2554

“ยิ่งลักษณ์” กับสถานะ “คนสวยผิดเสมอ” หลังจากที่โดน “รุมโทรม” กรณี “ร้องไห้” ก็แค่ผู้หญิง “มีอารมณ์” ไม่ใช่คน “เลือดเย็น”

        ณ ตอนนี้ ผมไม่ปิดบังตัวเองอีกต่อไปว่าผม “เกลียด” ใครบางคน
        ณ ตอนนี้ ผมไม่คิดที่จะ “ญาติดี” กับคนที่พยยามจะด่าผมว่าเป็น “ไอ้เลว” อีกต่อไป
        ณ ตอนนี้ ผมไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว ถ้าใคร ๆ จะมองว่าผม...
        “วีนแตก”

        เป็นข่าวกันครึกโครมทั้งบ้านทั้งเมือง เมื่อสื่อสารมวลชนไม่ว่าจะเป็นข้างไหน ค่ายไหน นำเสนอภาพของนายกรัฐมนตรีหญิง “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ให้สัมภาษณ์ในสถานการณ์น้ำที่กำลังจู่โจม ศปภ. รอบทิศทางว่า
        “อยู่ตรงนี้ ต้องเข้มแข็ง ยืนยิ้มรับ และไม่ท้อ”
        แต่ที่เป็นประเด็นฮอตในระหว่างการสัมภาษณ์ ก็คือ น้ำตาได้ไหลลงมาจากเบ้าตาของนายกฯ จนสื่อหลายชิ้นด้วยกันนำไปเล่นเป็นประเด็นว่า
        “นายกฯ ร้องไห้”      
        เท่านั้นละ ก็มี “ขาประจำ” ทั้งนักการเมืองประเภท “ช่องคลอดใกล้เสร็จ” ที่คอยตอดนิดตอดหน่อย รวมไปถึงสื่อที่ยังไง ๆ ก็จะไม่เผาผีกันอยู่แล้ว คอยซ้ำเติมด้วยบทความที่เป็นไปในแง่ลบ
        จุดร่วมของคนพวกนี้คือทำให้เห็นว่านายก “อ่อนแอ”
        อดีตนายก”อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กล่าวถึงกรณีนี้ว่า อยากให้นายกรัฐมนตรีมีความเข้มแข็งมากกว่านี้
        ตัวหัวหน้าอาจจะอยากรักษาภาพ “คนดี” ไว้ จึงพูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ แต่ตัวลูกน้องสิ “ไปไกล”
        “ลาออกไปซะ ถ้าแก้ไม่ไหวก็ลาออกไป”
        “ถ้าห่วงบ้านเมืองจริง ก็ควรเปิดโอกาสให้คนอื่นขึ้นมาทำหน้าที่แทน”
        ฯลฯ
        แค่นี้ ก็เห็น “ความกระสันหมั่นอยาก” ของคนพวกนี้แบบไม่ปิดบัง

        มีหลายประเด็นเหลือเกินที่ผมจะอธิบายเหตุการณ์นี้ ว่าทำไมคนพวกนี้จึงยังไม่เลิกที่จะเอาส้นตีนราน้ำในขณะที่ทั้งบ้านเมือง กำลังแข็งขัน (จะว่าแข่งขันก็ได้เพราะว่ามีแต่คนแย่งกันทำงาน) กันเต็มที่ในการแก้ปัญหา และมีหลายแง่มุมที่ผมอยากจะให้เห็นถึงปฏิกิริยาของฝ่ายต่าง ๆ ต่อเรื่องนี้
        เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนมากว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังมีความปรารถนาอย่าง แรงกล้าที่จะเป็นรัฐบาล โดยผ่านช่องทางต่าง ๆ ซึ่งมีความต่อเนื่องมาตั้งแต่ยังตั้งรัฐบาลกันไม่เสร็จ
        คือ นอกจากจะไม่ยอมรับผลความพ่ายแพ้ของตัวเองแล้วยังไม่ให้โอกาสคนอื่นขึ้นมาบริหารอีก
        ทำกันง่าย ๆ ตั้งแต่กรณีนโยบายงาน โครงการต่าง ๆ แม้กระทั่งเรื่องส่วนตัว อย่างเช่น การเป็นภรรยานอกสมรส รองเท้าบู๊ตที่ใส่ไปลุยงาน ก็ยังไม่เว้น
        คนพวกนี้พอพูดอะไรขึ้นมาแล้ว เวลารู้ทั้งรู้ว่าผิด เคยคิดที่จะ “ขอโทษ” กันบ้างหรือไม่ ?!
        ผมเชื่อว่าคนพวกนี้ “ไม่มีสำนึก”
        เพราะไม่เคยขอโทษใครเลย ตั้งแต่ผมจำความตัวเองได้
        ในขณะที่รัฐบาลทำงานกันเพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วม ร่วมกับ กทม. ซึ่งตอนนี้ก็แทบจะไม่ขัดขากันแล้ว เพราะเห็นตรงกันว่า “น้ำมาแน่” ถ้ามัวแต่ตั้งแง่กันคงจะแก้ยาก จึงร่วมกันเพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้บรรเทาลงที่สุด
        ก็จะมีพวก “เสนียดบ้านเมือง” คอยจิกกัดตลอด แบบไม่ไว้หน้า
        อยากจะถามคนพวกนี้ว่า
        “พวกมึงว่างมากหรือยังไง ?!”
        งานของพวกมึงมีเยอะแยะไม่ทำ แต่ชอบที่จะด่าคนอื่นไปวัน ๆ
        คือ มีตำแหน่งเป็นโฆษก ก็มีหน้าที่แค่ “แถลง” ไปวัน ๆ เท่านั้นใช่หรือไม่ ?!
        คือ พวกมึงซื่อสัตย์ต่อตำแหน่งหน้าที่จนไม่ทำหน้าที่อื่นกันเลยใช่หรือไม่ ?!
        ถึงได้แต่ “ด่า” คนอื่น
        แล้วไม่ช่วยเหี้ยอะไรเลย !!

        สิ่งที่สื่อกระแสหลักไม่ยอมบอกความจริงกับพวกเราอย่างหนึ่งก็คือ น้ำท่วมในครั้งนี้มีสาเหตุอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้การแก้ไขของรัฐบาลเป็นไปอย่างยากลำบาก กล่าวคือ น้ำในเขื่อนภูมิพล จ.ตาก และเขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ ที่มีระดับสูงเกินกว่าหน้าฝนของทุกปีที่ผ่านมามาก ๆ จากการกักเก็บเอาไว้และปล่อยลงมาน้อย ๆ ซึ่งการเก็บกักน้ำที่มีความผิดปกติเช่นนี้อยู่ในระยะของรัฐบาลที่แล้วแทบ ทั้งสิ้น
        เหตุผลที่รองรับการกักเก็บน้ำเช่นนี้ ก็คือ การคาดการณ์ว่าแล้งนี้จะมีน้ำน้อย จึงต้องกักเก็บไว้ ซึ่งความจริง ฝนตกน้อยเพียงเฉพาะเดือนมกราคม กับเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้น จากเดือนมีนาคม ฝนก็เริ่มตกและกระหน่ำมาเรื่อย ๆ ในปริมาณที่หนักกว่าปีที่แล้วเป็นหลาย ๆ เท่า จนทำให้น้ำที่ไหลลงอ่างมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ๆ แต่ปรากฏว่าเขื่อนมีการปล่อยน้ำลงมาน้อยลง ๆ เรื่อย ซึ่งสวนทางกับหลักที่คนทั่วไปเข้าใจได้ หรือแม้แต่เด็กอมมือก็ยังรู้เลยว่าถ้าน้ำในเขื่อนเต็มก็ต้องมีการระบายออกมา ให้น้ำในในเขื่อนมีระดับปกติ และสามารถรับน้ำใหม่ได้
        ถ้าเรานำข้อมูลปีนี้ไปเทียบกับปีก่อน ๆ เราก็จะพบว่า จำนวนน้ำที่ลงเขื่อนทั้ง 2 แห่งมีจำนวนมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา แต่อัตราการระบายน้ำนั้นกลับสวนทางกัน นั่นคือ การระบายน้ำน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อเขื่อนรู้ว่ามีน้ำเกือบจะเต็ม จะปริ่มแล้ว และน้ำใหม่ก็ยังจะมาอีก ทีนี้ก็จะต้องระบายน้ำออกเป็นจำนวนมาก มิฉะนั้นแล้ว น้ำก็จะล้นเขื่อน ทำความเสียหายให้กับพื้นที่ด้านล่าง แต่เป็นการทำที่โกลาหล ไม่มีการวางแผน และปล่อยกันมาพร้อมกัน น้ำก้อนใหญ่ก็เลยเริ่มเข้าท่วมพื้นที่ใต้น้ำ เช่น อ.สามเงา อ.บ้านตาก จ.ตาก ในฝั่งของเขื่อนภูมิพล ส่วนในฝั่งของเขื่อนสิริกิติ์ ก็จะเป็น อ.น้ำปาด อ.พิชัย อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งเราจะพบข่าวในช่วงแรก ๆ พร้อมกับปัญหาดินโคลนถล่ม คนที่อยู่แถบนั้นได้รับผลกระทบเป็นกลุ่มแรก
        การปล่อยน้ำจาก 2 เขื่อนใหญ่พร้อม ๆ กัน ทำให้ภาคเหนือตอนล่างเกิดน้ำท่วมหนัก และตอนนี้น้ำก็อยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นส่วนใหญ่ ถ้าเราจะลองเขียนสถานที่ที่เราอยู่พร้อมวันที่ลงไปในถุงพลาสติก แล้วปล่อยให้มันลอยไปตามน้ำเรื่อย ๆ อย่างเช่น อยู่น้ำปาดก็เขียนน้ำปาด อยู่สามเงาก็เขียนสามเงา สักวันหนึ่งก็จะมีคนเก็บได้และถ้าเป็นข่าว เราจะรู้ว่าตอนนี้น้ำไหลไปถึงไหน เร็วหรือช้า (เว้นแต่จะไปติดต้นไม้สักที่ใดที่หนึ่งก็จบเห่)
        ข้อมูลเหล่านี้เป็นความจริงทั้งสิ้น หากท่านไม่เชื่อในสิ่งที่ใครต่อใครพูด ก็ลองไปค้นหาสถิติการกักเก็บน้ำในรูปแบบของตารางหรือแผนภูมิได้ที่เว็บไซต์ ของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กรมชลประทาน หรือ กฟผ. ซึ่งเป็นต้นสังกัดของเขื่อนทั้งสองแห่ง จะมีข้อมูลโดยละเอียดซึ่งเผยแพร่กันอย่างเป็นทางการ ทั้งการกักเก็บน้ำ การรับ การปล่อย เปอร์เซ็นต์เทียบต่าง ๆ ในแต่ละปี
        อีกอย่างหนึ่ง หากจะมองว่ารัฐบาลใดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ เราก็จะต้องดูขอบเขตและภาระหน้าที่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลให้ชัดเจน เราพบว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยสมบูรณ์ ผ่านการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในวันที่ 25 สิงหาคม ซึ่งการเก็บกักก็ยังเป็นในลักษณะนี้อยู่ จนกระทั่งเดือนกันยายนจึงมีการปล่อยน้ำมาครั้งใหญ่ ดังนั้น เหตุการณ์ส่วนใหญ่จึงอยู่กับรัฐบาลที่แล้ว
        เพราะฉะนั้น ผู้ที่ต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบสาเหตุของน้ำท่วมในครั้งนี้ นอกจากเป็นรัฐบาลนี้แล้ว ก็คือ “รัฐบาลชุดที่แล้ว”
        คือ อย่ามาพูดกันรายวันให้รัฐบาลต้องรับไปร้อยเปอร์เซ็นต์เลยครับ มันเป็นไปในทำนองที่ว่า “กูไม่มีหน้าที่เป็นรัฐบาลแล้ว จะรับผิดชอบส้นตีนอะไร” ซึ่งเป็นความคิดที่น่าเกลียด เหมือนเวลาไปข่มขืนผู้หญิง แล้วโดนจับติดคุก บังเอิญหญิงผู้โชคร้ายท้องแล้วมีลูกออกมา จะอ้างว่าไม่ต้องรับผิดชอบเพราะอยู่ในคุก ไม่มีวันจะเจอหน้าลูก ไม่ได้
        โดยสรุป คือ พรรคประชาธิปัตย์กำลังปกปิดความจริงในสาเหตุที่ทำให้น้ำท่วม ด้วยการเล่นเกมการเมืองต่าง ๆ นานา และก็ปัดให้ความรับผิดชอบไปตกอยู่กับรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว
        สำหรับ “สลิ่ม” ทั้งหลาย ที่ออกมาสร้าง “นิยายหลอกเด็ก” ไปต่าง ๆ นานาว่านายกฯ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ รวมทั้งตอดเล็กตอดน้อยเรื่องหยุมหยิมในเฟซบุ๊ค อันนี้ถือว่าเล่น “ไม่แฟร์” เพราะในขณะที่แม้จะจัดการบริหารกันไม่เข้าท่าอย่างไร ก็ยังมีการแก้ไขปัญหากันจนแทบจะไม่ได้นอน วัน ๆ นอนกัน 2-3 ชั่วโมง จะมีเวลาไหนไปแต่งหน้าแต่งตาจนไปปรากฏบนภาพฉาวต่าง ๆ นานาละครับ
        เพราะฉะนั้น ภาพที่พยายามจะเอามาหลอกประชาชนว่า นายกฯ หนีเที่ยว นายกฯ เมาแอ๋ไม่ทำงาน จึงเป็นภาพที่ขัดแย้งที่สุด เพราะตั้งแต่น้ำท่วม หน้าของนายกฯ ก็ดูโทรมลง ๆ ทุกวัน สรุปได้เลยว่า แก่ลง ผิดกับภาพที่เอามาหลอก เพราะภาพนั้น “สดใส” กว่า
        ทีหลังถ้าจะเล่นก็ให้เนียน ๆ หน่อย กูจะได้คล้อยตามพวกมึงไปง่าย ๆ ไม่ใช่เล่นให้กูจับได้แล้วก็ใส่ความกันแบบนี้
        คือ ถ้าไม่คิดที่จะช่วยทำให้บ้านเมืองดีขึ้นก็อย่าโผล่หัวออกมาเลย
        ชอบด่าเหลือเกินว่ารัฐบาลป้องกันกรุงเทพฯ ไม่ได้ แล้วเป็นไง ตัวเองหนีไปเที่ยวเกาะ เที่ยวแก่ง เล่นน้ำตก สูดอากาศบนดอย สบายใจเฉิบ
        ยังไงล่ะ ?!
        คือ ถ้าจะอ้างว่ารัฐบาลเล่นเกมการเมือง เลือกพวกเลือกพ้อง ก็ลองดูตัวเองว่า “เล่นการเมือง” อยู่หรือเปล่า ถ้าจะให้รัฐบาลหยุดเล่นการเมืองแล้ว ตัวเองก็ต้องหยุดด้วย
        คือไอ้ “สองมาตรฐาน” นี่ผมว่าพอ ๆ สักทีเถอะครับ
        แล้วถ้าจะอ้างว่านายกฯ หนีงานไปอะไรต่อมิอะไรนั้น ก็อยากจะถามว่า แล้วผู้นำฝ่ายค้านละครับ...
        หนีไปเที่ยว “มัลดีฟส์” โดยอ้างว่าไปดูงาน แล้วเป็นไง ไม่มีอะไรจะเสนอ จะชี้แนะรัฐบาลเพราะไม่ได้ไปเพื่อการนั้นจริง
        “ควงเมียเที่ยว” ก็บอกมาเถอะครับ ?!
        ทีน้ำท่วมในสมัยตัวเอง อันนี้ชัดยิ่งกว่าชัด ในขณะที่น้ำกำลังท่วมสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตัวเองกลับไปเที่ยวพักผ่อนเกาะสมุยแบบไม่สนใจใคร
        อย่างนี้จะเรียกว่า “หนีหน้าที่” ได้หรือเปล่า ?!
        ขนาดมีหน้าที่ยังหนีหน้าที่เลย
        พอตัวเองไม่มีหน้าที่ จะดิ้นรนหาหน้าที่ มันงงไหมล่ะ ?
        เวลาจะมองต้องมองให้หลากหลายครบถ้วนด้วย ไม่ใช่ว่ามาปิดตาตัวเองข้างหนึ่งแล้วก็นั่งเทียนว่ากันไปตามประสาคนกิน “เกาเหลา” กันทั้งปีทั้งชาติ
        เป็นพวก “ปลาทอง” ความจำสั้นแม้กระทั่งชั่วครู่เดียวก็ลืมแล้วว่าตัวเองทำอะไร

        เอาละครับ ผมไม่เถียงว่า ศปภ. ดีจนไม่มีที่ติ เรื่องผิดพลาดก็มี เช่น การให้ความช่วยเหลือไม่ถึง การเก็บกักของบริจาคไว้ แต่ในเรื่องเสื้อผ้า ที่มีบางส่วนขนย้ายไม่ทันจนน้ำท่วม ผมก็เห็นว่าจะต้องชี้แจง เพราะไม่งั้นคนที่มองความเพียงด้านเดียวก็จะได้ใจเอาไปขยายความว่าจะเอาไป ใช้เอง
        คือ เสื้อผ้าที่บรรดาคนบริจาคนั้น มีทุกรูปแบบ ที่ดี ๆ ก็มี และส่วนที่เก่า ๆ มือสอง สภาพเยินมาก ก็มีเช่นเดียวกัน บางคนที่ไม่ถูกใจ หรือพังพาบแล้วก็เอามาบริจาค ทาง ศปภ. ก็แน่นอนที่จะต้องพิจารณาว่าเสื้อผ้าชุดไหนควรส่งไป อันไหนดี อันไหนเสีย เพราะไม่งั้นก็จะถูกโจมตีจากพวก “ตีปลาหน้าไซ” ว่า แจกของเสื่อมคุณภาพให้กับประชาชน หรือประชาชนก็จะด่าว่าเอาอะไรมาให้
        ก็ทีรัฐบาลตัวเอง เอาปลากระป๋องเน่า ข้าวสารมอดราไปให้ เขาด่ากันทั้งประเทศ
        “สลิ่ม” เงียบตาปริบ ๆ
        ไม่รู้ “ส้นตีน” ติดคอหรือเปล่าถึง “พูดไม่ได้” ครับ ?!
        ขอร้องเถอะครับว่าอย่าพยายาม “แกล้งโง่” หรือ “ความจำสั้น” อย่างมีมารยาแอบแฝง เพราะถ้าคนเราพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวหรือปั้นเรื่องมาพูด มันก็จะมีแต่เรื่องโกหก จนทำให้ไม่เข้าใจกัน สุดท้ายก็จะตีกันตาย
        ก็เพราะเรื่องเหี้ย ๆ พวกนี้ละมั้ง นายกฯ ถึงน้ำตาไหลออกมาเป็นนัยว่า “ทำไมคนไทยไม่รักกัน” ให้บรรดาสลิ่มประจานความโฉดเขลาในภูมิปัญญาของตัวเอง
        เขาชอบพูดกันว่า “น้ำลดตอผุด”
        แต่ขอโทษนะครับ ยามนี้แล้ว
        “น้ำท่วม” ตอก็ “ผุด”

        ที่นายกฯ ต้องน้ำตาไหลออกมา ถึงแม้จะถูกก่นด่ากันแบบ non-stop ว่า “อ่อนแอ” และโดนโจมตีว่าไม่มีความสามารถ บางทีถึงขั้นไล่ให้ “ไปเกาะผัวแดก” ก็มี ผมมองในแง่ดีครับว่าที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ยังแสดงว่านายกฯ หญิงคนนี้ มี “หัวใจ” มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือน ๆ กับคนทั่วไป
        เพียงแต่ว่าเกิดปัญหาอะไร จะไม่กระตู้วู้กรี๊ดวี้ดว้ายกันให้เอิกอึงกันเป็นข่าวคราวเท่านั้นเอง
        นี่ขนาดไม่ออกมาตอบโต้ตามเกมยั่วแล้ว ก็ยังโดนหาว่า “ไม่กล้าสู้ความจริง” ขนาดสื่อถามยังหนี ไม่กล้าตอบ แล้วจะนับอะไรกับการบริหารประเทศที่ไม่มีอำนาจที่แท้จริง
        ถ้าเกิดว่าทนไม่ไหว ไปเล่นเกมตามน้ำคนพวกนี้ละก็ ก็จะโดนหาว่า “ต๊ายยยย...นายกฯ วีนแตก ไม่มีความอดทนอดกลั้น ไม่เข้มแข็ง แล้วจะบริหารประเทศที่มีปัญหาผ่านไปได้ยังไงล่ะ
        มึงจะบ้ารึยังไงหะ ?!
        ฟังชัด ๆ ไอ้พวกตีปลาหน้าไซทั้งหลาย กูรู้ตับไตไส้พุงพวกมึงหมดแล้ว !!
        คือ ธงที่คนพวกนี้ปักไว้ ก็คือ เอานายกฯ ออกไปให้ได้ โดยดักไว้ทุกเกม ดักทุกหน้าที่จะออกมา แล้วก็หาช่องที่จะโจมตีให้ได้ ซึ่งเป็นเกมที่น่าเกลียดมาก และมาเล่นกับผู้หญิงแบบนี้ เชื่อว่าเป็นผู้หญิง ใครจะยอมให้เล่นกันแรง ๆ แบบนี้ละครับ
        คงมี “สลิ่ม” ที่ยอมให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
        เพราะถ้าผู้หญิงคนนั้น “พวกตัวเอง” จะให้ลากไปเข้าป่าฆ่าหมกกันต่อหน้าก็คงไม่เป็นไร ไม่ต้องสงสาร
        เผลอ ๆ จะสมน้ำหน้ามันไปด้วยซ้ำ

        ก็ถือว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์อย่างหนึ่งที่นายกฯ เลือกใช้ ก็คือ ความมีอารมณ์ มีหัวใจเป็น “หัวใจ” รับรู้สิ่งต่าง ๆ หนักเบาเข้ามาและสนองตอบ อาจจะดราม่าไปบ้างก็แล้วแต่คนจะมอง แม้ผมจะไม่ได้ชื่นชอบจนกระทั่งจะกระโดดเข้ามาแก้ต่างแทนก็เถอะ แต่ในฐานะอิสระชน ผมมองว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์คนนี้ยังมีความเป็น “มนุษย์” อยู่เต็มตัว
        ไม่เหมือนกับบางคน
        ต่อให้มีการฆ่า สังหารหมู่ประชาชนกันดังลั่นทั้งบ้านเมือง ตัวเองสั่งแท้ ๆ กลับสามารถเดินลอยชายอยู่ในสังคมได้โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร แถมคำขอโทษแม้แต่คำเดียวก็ไม่มีหลุดออกมาจากปาก ไม่ว่าจะจงใจ หรือเผลอพูด
        “เลือดเย็น” แท้ ๆ
        คนอะไร “ไร้หัวใจ” แถม “เย็นชา” ไม่รู้สึกอะไรเลย กับการที่มีประชาชนตายกลางเมืองเกือบร้อยศพ
        ผมเห็นแล้วว่ามุกร้องไห้ทั้งคืนที่พยายามจะปั่นกระแสให้แม่ยกน้ำตาไหลปก ป้องสงสารนั้น มันก็แค่ “เกมมายา” ชนิดหนึ่งที่ “หลอกคน” ให้เชื่อได้เกมหนึ่งเท่านั้น
        เพราะถ้าร้องไห้ทั้งคืนด้วยจิตใจที่จะหยุดเหตุการณ์ฆ่ากลางเมืองจริง วันรุ่งขึ้นต้องสั่งทหารให้หยุดให้ได้สิครับ ทำไมต้องหนีไปกลางสมรภูมิด้วย
        “ไอ้สันดาน”

        ผมเขียนแล้วก็นึกถึงเพลงที่ออกมาต้นปีนี้อยู่เพลงหนึ่ง เป็นเพลงของแอม ฟายน์ ที่ร้องแสดงความคับแค้นใจของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่หน้าตาไม่ดี จนแฟนทิ้งไปมีผู้หญิงคนใหม่ จนต้องไปทำศัลยกรรมเพื่อทำให้ตัวเองสวย เพื่อจะให้แฟนกลับมารักเหมือนเดิม
        หาไม่ แฟนรู้ตอนนอนกันเสร็จแล้วว่า “เป็นเธอนั่นเอง” ก็หนีไปเช่นเดิม
        ใช่ “คนไม่สวยผิดเสมอ” นั่นเอง
        แอม ฟายน์ สะท้อนคำพูดคำร้องได้ตรงใจมาก เพียงแค่วลีสั้น ๆ ที่ปรากฏในชื่อเพลงก็สามารถสื่อให้เข้าใจได้ดี ตรง ชัดเจน
        “ก็คนไม่สวย ทำอะไรก็ผิดเสมอ ไม่เคยเข้าตา แค่เพียงคนธรรมดาที่มองผ่านไป จะมีบ้างไหม ใครสักคนที่จะเลือกมอง กันที่หัวใจ ที่เขาเต็มใจจะสวมกอด และรักที่ตัวจริง ที่ข้างใน”
        คือ จะเน้นว่าความรัก ไม่ใช่เพียงแค่หน้าตาดีแล้วก็จบกัน แต่ความรักนั้น มันต้องอยู่ที่ความเข้าใจ ธรรมในจิตใจ ความสวยไม่สวยก็แค่ของนอกกาย ถ้าสวยแล้วเลวก็ไม่น่าคบ จริงไหม
        คนบางคนยึดกันจนเป็นนิตย์เนืองว่า คนที่ชาติตระกูลสูง คนที่มีฐานะดีเป็นเศรษฐี คนที่หน้าตาดี หล่อเหลา สวยสด ย่อมมีสิทธิเหนือกว่าประชาชนทั่วไป จะให้เหนือกว่ากฎหมายก็ย่อมได้
        ดังนี้ถือว่าเป็นความคิดที่ “ผิด” แบบมหันต์ และส่งเสริมระบบความไม่เท่าเทียมกัน กดขี่ข่มเหงให้เพิ่มขึ้นในสังคมไทย ซึ่ง “สลิ่ม” ชอบเชื่อกัน จนเห็นประชาชนเป็น “หมาเชื่อง ๆ” ตัวหนึ่งที่มีหน้าที่รับของบริจาคยามน้ำท่วม
        คนพวกนี้จะมองว่าคนจน “ซื่อซื้อได้” สุดท้ายก็มีกำแพงทางวัฒนธรรมที่ขีดกั้นชนชั้นอื่นไม่ให้ดำเนินสิ่งที่ตน ดำเนิน ซึ่งมันก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับอินเดียที่มีระบบวรรณะเข้มแข็ง แต่กฎเกณฑ์ที่ไทยมีมันไม่ชัดเจนเป็นสภาพบังคับเหมือนที่โน่น ละครไทยเราจึงมีประเภทพระเอกนางเอกที่มีฐานะต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่ผู้หญิงจนก็ผู้ชายจะจน และถ้าไม่ผู้หญิงรวยผู้ชายก็จะรวย (หลัง ๆ จะมีประเภทผู้หญิงจนแต่ผู้ชายรวยกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะคนดูจะดูพระเอกหล่อ ๆ แล้วก็จะรอดูว่านางเอกจะรับกิริยาที่พระเอก “ป้อ” ยังไง นางเอกไม่มีสิทธิ์คิดประดิดประดอยอะไรเลย ต้องรอพระเอกอย่างเดียว)
        เพราะฉะนั้น ไม่ต้องคิดเลยว่าทำไมคนไทย กับคนอินเดีย จึงฝันถึง “ชาติหน้า” ว่าอยากจะเป็นผู้ชาย อยากจะหน้าตาดี อยากจะรวย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเข้าใจได้

        กรณีของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะเหมือนกรณีของผู้หญิงใน MV “คนไม่สวยผิดเสมอ” หรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่คิดว่าน่าจะคล้าย ๆ กัน เพราะไม่ว่าจะทำอะไร ก็จะโดนจับผิด เล่นงานตลอด แม้ทำดีก็จะโดนหาว่า “สร้างภาพ”
        กรณีนี้ คงจะต้องตัดคำว่า “ไม่” ออก นายกฯ อาจจะรำพันกับตัวเองด้วยความคับแค้นใจว่า
        “คนสวยผิดเสมอ”
        หรือ จะสวยหรือไม่สวยก็ผิดเสมอ เพราะ...
        เป็นน้อง “ทักษิณ ?!”

5 พฤศจิกายน 2554

เมื่อ “ก้อนอิฐ” กับ “คำ ผกา” โคจรมาเจอกัน !! และหนังสือ “เปิด เปลื้อง เปลือย คำ ผกา” โดย ก้อนอิฐ

** บทความย้อนหลังเพื่อทดลองระบบ ที่มา facebook ครับ ** 



        ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผม “เป็นใครกัน ?!”
        ใคร ๆ ที่ไม่คิดจะสนใจสังคมและบ้านเมือง คงตอบไม่ได้เป็นแน่
        เพราะคน ๆ นี้ “ดัง” จะตาย !!

        ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะดังระเบิดระเบ้อ ดังระเบิดเถิดเทิง ลั่นคับฟ้า ในเรื่องของความ “แรง” ได้มากกว่าผู้หญิงที่ชื่อ “คำ ผกา” อีกแล้ว !!
        “คำ ผกา” คือนามปากกาของผู้หญิงที่ชื่อ “ลักขณา ปันวิชัย” หรือที่เรียกกันแบบส่วนตัวว่า “คุณแขก” หญิงชนบทจากสันคะยอม อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ที่สั่งสมประสบการณ์ด้านการเขียนในรูปแบบต่าง ๆ มามากมาย ทั้งในด้านการเขียนหนังสือแบบสนุก ๆ ชิว ๆ อย่างการทำอาหารซึ่งเป็นกิจกรรมโปรดของคุณแขก หรือมิฉะนั้นก็จะออกไปทาง “ปาก (กา) กัด ตีนถีบ” โดยเฉพาะการเมือง สังคม และเรื่องเพศ ซึ่งคุณแขกพูดแบบเปิดเผย ไม่อ้อมค้อม ตรงไปตรงมา มีทั้งคนชมและด่าไปพร้อม ๆ กัน
        คุณแขกได้สั่งสมประสบการณ์ด้านการเขียนตั้งแต่เรียนชั้นปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และต่อมาได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่น ก่อนที่จะกลับมาเป็นนักเขียนในนิตยสารต่าง ๆ ซึ่งรสชาติในแต่ละคอลัมน์ถือว่าแตกต่างกัน
        คุณแขกได้เขียนหนังสือในนามปากกา “คำ ผกา” และนามปากกาอื่น ๆ เช่น “ฮิมิโตะ ณ เกียวโต” ซึ่งจะเกี่ยวกับหนังสือเกี่ยวกับญี่ปุ่นในด้านการทำอาหาร จะว่าเป็นชีวิตจริงของคุณแขกที่ไปอยู่ในญี่ปุ่นก็ได้ หรือจะว่าเป็นนิยายก็ได้ กึ่ง ๆ กัน รวมกันหลายเล่มจนถึงปัจจุบัน
        คุณแขก แรก ๆ ก็เป็นนักเขียนธรรมดา ๆ ที่โด่งดังมากจนถือว่า “แจ้งเกิด” ก็คือคอลัมน์ “กระทู้ดอกทอง” ในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ จนทำให้เกิดฉายา “คำ ผกา” ขึ้นมา โดยหลบลี้ทางด้านภาษาของคำว่า “ดอกทอง” นั่นเอง
        คอลัมน์นี้ถือว่าโดน “จัดเต็ม” จากบรรดาคนที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเขียนอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ท้อใจ เขียนต่อไป จน “แจ้งเกิด”
        ในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ คุณแขกได้เขียนสองคอลัมน์ โดยใช้สองนามปากกา และไม่มีใครระแคะระคายเลยว่าเป็นคนเดียวกัน 
        ปัจจุบัน “คำ ผกา” ได้เป็นคอลัมนิสต์ประจำของ “มติชนสุดสัปดาห์” ในคอลัมน์ที่เป็นชื่อของคุณแขกเอง เราจะพบในหน้าปลาย ๆ ของเล่ม ซึ่งกินเนื้อที่ไปประมาณ 2 หน้า สาระส่วนใหญ่อิงการเมืองและวัฒนธรรม โดยเขียนบวกกับวิจารณ์ได้แซ่บสะเดิดเหลือหลาย กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันกว้างขวาง และก็โดน “ใส่” จากบรรดาฝ่ายตรงข้ามจาก “จุดยืน” ของคุณแขก ซึ่งคุณแขกประกาศชัดว่ามีตัวตนอย่างไร เลือกที่จะอยู่ข้างไหน
        นอกจากนี้ ยังได้จัดรายการ “คิดเล่นเห็นต่างกับคำ ผกา” ใน Voice TV ร่วมกับ “อรรถ บุนนาค” ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 21.30-22.00 น. โดยมีประเด็นพูดรอบด้าน พร้อมทั้งไม่มีออมปากออมมือ “จัดหนัก” ไม่ยั้ง จนบรรดาฝ่ายตรงข้าม “ตาลุกเป็นไฟ” ไปในพริบตา
        คำพูดของคุณแขกนั้นถือว่าแรงเกินจะยั้งใจให้หยุดติดตามและค้นหาความจริง จนบางครั้งทีมงานต้องเซ็นเซอร์คำที่พูด เรียกว่าแทบไม่ทันกินกันเลยทีเดียว เช่น วันที่พูดถึงเพลงคันหู ก็ได้ยกเพลงของพุ่มพวงเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นถึงลักษณะทางเพศที่ถูกขัดเกลา ไม่ให้มีความหยาบคายตรงไปตรงมา เช่น ถอยห่าง อีกนิด ๆ ถ่างหอย... เป็นต้น
        อีกวันหนึ่ง เป็นการพูดถึงประเด็น slut walk ซึ่งเป็นการที่ผู้หญิงเดินขบวนในลักษณะโป๊ คุณแขกก็พูดว่า เมืองไทยยังมีธรรมยาตราเลย ที่โน่นก็น่าจะเป็น “กะหรี่ยาตรา”
        แรก ๆ ผมไม่รู้หรอกครับว่าไอ้คำที่เว้นไปนั่นมันคำว่าอะไร สงสัยมานานแล้ว แต่เมื่อผมได้พบกับ “คำ ผกา” ตัวจริง ก็แฉซะหมดเปลือก

        ล่าสุด คุณแขกได้ออกหนังสือปกสีลิ้นจี่ จะว่าสีแดงก็ไม่เต็มกลืนเพราะว่าองค์ประกอบสีมันเปลี่ยนจากแดง จะว่าชมพูก็ไม่ถึงขั้น ครั้นจะบอกว่าเป็นสีบานเย็นยิ่งแล้วใหญ่ จึงอนุมานได้ว่าสีมันจะคล้าย ๆ เปลือกลิ้นจี่ ก็เอาเป็นว่า สีเปลือกลิ้นจี่เป็นยังไง สีปกของหนังสือเล่มนี้ ก็เช่นนั้นแล

        หนังสือเล่มล่าสุด มีชื่อว่า “เปิด เปลื้อง เปลือย คำ ผกา” แล้วหน้าปกก็มีภาพของคุณแขกเปลือย แต่ประดับประดาด้วยสีสันจากการเมืองและสังคมเต็มที่ มีช้าง มีหมีแพนด้า มีอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง
        ผมเจอ “คำ ผกา” ตัวจริงโดยบังเอิญในวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยได้ไปที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 16 ผมมีธงว่าจะซื้อหนังสือเล่มนี้อยู่แล้วครับ ก็เลยซื้อ แล้วก็หันไปเจอเข้าพอดี จึงขอลายเซ็น แล้วก็คุยกันสนุกสนาน ในระหว่างที่คุณแขกก็เซ็นลายเซ็นให้กับคนอื่นไปเรื่อย ๆ 1 ชั่วโมงเต็ม ๆ ก่อนที่ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ผู้เขียนหนังสือ “สุภาพบุรุษไพร่” จะเข้ามานั่งบ้าง ท่ามกลางคนเสื้อแดงที่ล้นหลาม ทั้งสองคนก็คุยกันแหย่กันตามประสา “คนเสื้อแดง” ด้วยกัน ด้วยเวลาพอสมควร

        เนื้อหาสาระของหนังสือเล่มนี้ก็คือการรวมบทสัมภาษณ์ของ คำ ผกา ไว้ด้วยกันหลาย ๆ ตอน ซึ่งประเด็นไม่มีตายตัว ถามไปเรื่อย ๆ ก็ออกทะเลไปเรื่อย ๆ เน้นความเป็นกันเอง แต่แทรกซึมความเด็ดขาด และไม่พ้นที่จะ “แสบสันต์” ตามขุมถนัดของคุณแขกครับ

        ขอยกบางข้อความมาเป็นน้ำย่อยครับ 
        “...เราต้องยอมรับว่าท่านพุทธทาสเป็นนักคิดที่มีอิทธิพลความคิดต่อปัญญาชนไทยมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย นักคิดที่มีอิทธิพลมากขนาดนี้จำ เป็นอย่างยิ่งที่ผลงานของเขาต้องได้รับการศึกษา ตีความ วิเคราะห์ วิจารณ์ ในหลายแง่มุม แต่ปรากฏว่าท่านพุทธทาสกลับถูกใช้ในทางการเมืองอีกแบบหนึ่ง ถูกทำให้เป็นสถาบันที่ละเมิดไม่ได้ กลายเป็นรูปเคารพ กลายเป็นเทพ หมดความเป็นมนุษย์ไปเลย...”
        “...ก็แค่อยากจะบอกว่า ถ้า ผู้หญิงแก้ผ้ามันไม่จำเป็นต้องบอกว่า แก้ผ้าหาเงิน แก้ผ้าใช้หนี้ให้แม่ แก้ผ้าเพราะว่าเป็นงานศิลปะ แก้ผ้าเพราะว่าอยากต่อสู้ให้พีต้า เพื่อสิทธิสัตว์...การแก้ผ้าของผู้หญิงเป็นเรื่องที่ทำได้โดยไม่ต้องมี เหตุผลใด ๆ รองรับเลยก็ได้...ก็แค่นั้น”
        “ฉันว่าสังคมไทยมันลักลั่นกันอยู่ ระหว่างการก้าวไปอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า “สมัยใหม่” กับการโหยหาสังคม “ก่อนสมัยใหม่” เรากลัวทุนนิยม กลัวโลกาภิวัตน์ เราโหยหาชุมชนนิยม เราเกลียดบริโภคนิยม เกลียดวัตถุนิยม แต่เราก็ชอบเหตุผลนิยม เกลียดไสยศาสตร์อยากได้ประชาธิปไตย แต่ก็อยากอยู่แบบเอื้อเฟื้ออาทร แบ่งปันฉันเธอ อยากค้าขาย แต่ก็อยากพอเพียง คือตกลงจะเอาอะไรกันแน่วะ ต่อต้านโลกาภิวัตน์ แต่อยากส่งน้ำพริกเผาขายทั่วโลก--ฉันก็งงจริง ๆ
        คนเรามันต้องเลือกเอาอะไรสักอย่าง มันเอาหมดทั้งสองอย่างไม่ได้ จะเอาทั้งปัจเจกทั้งชุมชน มันโลภจริง ๆ คนสมัยนี้ถึงทำงานจันทร์ถึงศุกร์ กินเต็มที่ หาเงินเต็มที่ เสาร์-อาทิตย์ไปนั่งสมาธิ ชาร์ตแบตเตอรี่ จะเอาทั้งเงิน จะเอาทั้งจิตวิญญาณ เอาแม่-งทุกอย่าง...”
        “...เมื่อก่อนดิฉันอยู่ที่ญี่ปุ่น คนใส่มาสก์เวลาเป็นหวัดเป็นเรื่องปกติมาก เราเป็นหวัด เราต้องปิดปาก--ในแง่ของภาษาที่สื่อออกไปคือคุณกำลังบอกกับสังคมว่า “ฉันมีความรับผิดชอบต่อสังคมนะ ฉันป่วยและฉันระวังไม่เอาเชื้อโรคไปติดใคร” แต่การใส่มาสก์ในเมืองไทยที่รณรงค์กันอยู่คือ คนไม่ป่วยใส่ เพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้ติด มันกลับกัน ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นสองอย่าง
        อย่างแรกคือ คนไทยรู้ว่าพึ่งรัฐไม่ได้ ก็พึ่งตนเอง ป้องกันตนเอง อย่างที่สอง เราไม่ได้ใส่มาสก์เพราะคิดถึงคนอื่นหรือเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อคนอื่นที่ อยู่ร่วมกับเรา แต่เราใส่มาสก์เพื่อป้องกันตัวเราเอง เป็นการเอาตัวรอดแบบ...ดิฉันไม่อยากพูดว่า “แบบคนไทย” --คือมันเป็น mentality เป็นสำนึกที่อยู่กับสังคมไทยที่เราคุ้นเคย คนอื่นเป็นไงก็ช่าง สังคมเป็นไงก็ช่าง ตัวกู ลูกกู ครอบครัวกูรอดก็แล้วกัน...”
        “อยากพูดว่า ตอนนี้ดิฉันรังเกียจพรรคประชาธิปัตย์อย่างบอกไม่ถูก--perspnal เป็นส่วนตัวมากนะคะ เป็นความคิดเห็นส่วนตัว และอยากถามรัฐบาลชุดนี้ว่า ไม่อายน้ำหน้าตัวเองบ้างเลยหรือกับการขึ้นมาเป็นรัฐบาล แต่ละคนก็มีการศึกษาดี ๆ มาจากครอบครัวดี ๆ มีกินมีใช้ ไม่ได้ลำบากยากจนอะไรนักหนา ไม่ได้เป็นรัฐบาล เมียก็เดินซื้อเพชรได้ทุกวันอยู่แล้ว--ทำมั้ย...ทำไมหน้าด้านกันนัก”
        “...สมมุติว่าเราเขียนงานออกไป เราเขียนในที่แจ้ง งานชิ้นนั้นมันจะถูกเขียนและถูกอ่านโดยคนอ่านแล้ว...มันจะไม่ใช่อำนาจของแขก เพราะฉะนั้นคุณอ่านให้แรงก็เป็นเรื่องของคุณ คุณอ่านให้เข้าใจสิ่งที่มันหลุดจากความรุนแรงทางภาษาก็เป็นเรื่องของคุณ ถ้าคุณอ่านแล้วได้แต่ความหยาบคาย อันนั้นเป็นปัญหาของคุณ ไม่ใช่เป็นเรื่องของแขก แต่แขกอยากพูดให้ตรงที่สุด ตรงตามที่แขกคิดมากที่สุด จะวิจารณ์ใคร แขกก็อยากให้เค้ารู้ว่าแขกวิจารณ์เค้า เอาให้ชัด ๆ ไม่ต้องอ้อมว่า นาย ก. นาย ข. อะไรงี้...”
        “...เหมือนเราเห็นกรรมกรเป็นฆาตกรข่มขืนน่ะ เพราะว่าเค้าเป็นกรรมกรก็จะถูกอธิบายแบบนึง แต่ถ้าเป็นหมอ มันก็จะถูกอธิบายอีกแบบนึง ถ้าคนที่ข่มขืนคนนั้นเป็นหมอก็จะถูกอธิบายแบบจิตวิทยาอะไรไป แต่พอเป็นกรรมกรปุ๊บ ก็ตบหัวเข่าฉาด ใช่เลย กูว่าแล้ว
        “...คนไทยจะเป็นคนที่ว่านอนสอนง่าย ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดูหนังโป๊ ไม่หนูหนังที่มีเลิฟซีน ไม่ดูหนังกะเทย ใครอยากเป็นกะเทยก็ต้องเป็นกะเทยไทยที่ดี คือกตัญญูเป็น “กุลกะเทย” รักษาพรหมจรรย์ ไม่แรด ไม่ร่าน รู้จักหมอบคลาน รำไทย เป็นกะเทยแบบนี้จะได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่ได้ดีตามสมควร แต่ถ้าคุณเป็นกะเทยที่ทำหนังให้เห็นกะเทยเอาผู้ชาย หนังคุณจะถูกแบน...” 
        “...แขกคิดว่าที่น่ากลัวกว่าแม่ชีก็คือพระแอ๊บเนียนทั้งหลาย ที่พูดอะไรก็ดีไปหมด ถูกไปหมด จะน่ากลัวกว่าพระที่บอกว่าไม่เลือกอะไรเลย สังคมมันซับซ้อน เราต้องเป็นกลาง นี่เป็นศัตรูที่น่ากลัวกว่า และสู้ด้วยยากจังเลย เพราะเขาพูดแต่เรื่องดี ๆ แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วเขาเห็นแก่ตัวไงคะ เขาไม่ยืนอยู่ข้างที่เสียเปรียบ ไม่ยืนอยู่ข้างที่ถูกต้อง แต่เขาเลือกที่จะลอยตัวอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งหมด และรักษาตัวเองไม่ให้เจ็บตัว ทำนองนี้น่ากลัวกว่า คือไม่ขวา ไม่ซ้าย ไม่ขาว ไม่ดำ ขอพื้นที่เทา ๆ ได้ไหม พื้นที่เทา ๆ ก็คือคุณกำลังทำตัวเป็นพระเจ้าอยู่เหนือมนุษย์ธรรมดา แล้วคุณจะไม่อยู่ข้างใดทั้งนั้น คุณก็รอว่าฝ่ายไหนชนะ แล้วก็บอกว่านี่ไง ฉันไม่เปลืองตัวเลย ฉันก็บอกว่าความขัดแย้งมันซับซ้อน จะลงไปเจ็บเนื้อเจ็บตัวกันทำไม...”
        “...ในขณะที่ชนชั้นกลางพร่ำพูดเรื่องความถูกต้อง ๆๆๆๆ สงบ ๆๆ แปลว่าอะไรก็ไม่รู้ แล้วความถูกต้องคืออะไรก็อธิบายไม่ได้ แล้วพอให้เล่าลงไปในรายละเอียดก็พูดไม่ได้ รู้แต่ว่าขอความถูกต้อง ขอพื้นที่กรุงเทพฯ คืนให้กับคนกรุงเทพฯ ขอความสงบ ขอความเมตตา ขอความรัก กลับมารักกันได้ไหม--อีหอยหลอด กูจะรักมึงได้ยังไง ในเมื่อผลประโยชน์ของกูกับมึงไม่ตรงกัน
        “...การที่เราเลือกที่จะอยู่กับใครสักคนหนึ่งเป็นระยะเวลายาว ๆ นี่ บางทีมันไม่ใช่ความรักล้วน ๆ นะคะ มันเป็นความลงตัวในชีวิต ว่าชีวิตเรากับเขาเข้ากัน เช่น การเงินลงตัวไหม ญาติพี่น้องลงตัวไหม เรื่องหน้าที่การงานลงตัวไหม แขกหมายถึงปัจจัยภายนอกเมื่อมาอยู่ด้วยกันแล้วมันพอดีกัน เช่น ถ้าสมมุติว่าแขกมีแฟนอยู่คนละประเทศ แล้วไม่มีทางย้ายประเทศไปอยู่ด้วยกันได้เลยในระยะเวลาอันสั้น ต่อให้รักแค่ไหนก็คงเลิก เพราะปัจจัยภายนอกมันไม่เอื้อ มันไม่ใช่เรื่องความรักที่อยู่ข้างในอย่างเดียว”
        “...ยกตัวอย่างง่าย ๆ คำถามง่าย ๆ ที่ทุกคนต้องเจอว่า ทำไมไม่แต่งงาน นี่ก็เป็นการต่อสู้อย่างหนึ่งนะ แขกเองก็ต้องคอยตอบคำถามเหมือนกันว่า ทำไมไม่อยากมีลูก เป็นผู้หญิง ทำไมไม่มีสัญชาตญาณความเป็นแม่ ทำไมถึงไม่อยากมีหมา พร้อมผู้ชายสัก 1 คน

        อั๊ยย่ะ !!
        “จัด” เต็มดอก “ตอก” เต็มกบาล
        ความจริงก็อยากจะเถียงคุณแขกในหลายเรื่อง ๆ นะครับ เพราะผมเห็นว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่คุณแขกพูด แปร่ง ๆ
        ไว้ข้อมูลแน่น ๆ หน่อยนะ เดี๋ยวเราสองคนมา “ฉะ” กัน
        “แรงมา” ก็ “แรงไป”
        ระหว่าง “ศิษย์” ที่ชื่อ “ก้อนอิฐ” กับ “อาจารย์” ที่ชื่อ “คำ ผกา”
        เราชอบอะไร “แรง ๆ” อยู่แล้ว !!

        นี่ก็คือบางส่วนที่ตัดตอนมาจากหนังสือ “เปิด เปลื้อง เปลือย คำ ผกา” ที่ผมมีโอกาสพบเจอตัวจริงของคนเขียน และได้รับลายเซ็นเป็นที่ระลึก ความจริงยังมีแรง ๆ มากกว่านี้อีกครับ ต้องหาอ่าน
        สำหรับคนอ่านหนังสือเล่มนี้ ผมบอกไว้ก่อนนะครับว่า ทุกสิ่งที่เป็นคำพูดจากการสัมภาษณ์ของคุณแขก อ่านแล้วไม่จำเป็นต้องเชื่อไปหมดก็ได้ เพียงแต่เราต้องรู้จักเถียง รู้จักทำความเข้าใจ อย่างที่คุณแขกบอกว่า อย่าเชื่อไปเลยเพราะว่าคนพูดดี เพราะว่าสถานะของบุคคลนั้น แต่ควรที่จะวิจารณ์ แม้ว่าจะเป็นพระ เป็นคนสูง อย่างท่านพุทธทาส เป็นต้น ก็ไม่ควรมองในแง่ศีลธรรมเพียงอย่างเดียว แต่ควรจะมองในมิติอื่นด้วย
        ที่สำคัญที่คุณแขกย้ำเองในหนังสือ ก็คือ อ่านให้อย่าเป็นอ่าน แต่ควรอ่านแบบ “ฟัง” คือ ตัวเขียนที่ปรากฏมันไม่ใช่เกิดจากสำนวนการเขียน แต่เป็นการถอดเอาบทพูดจากการรับสัมภาษณ์ เพราะฉะนั้นจึงควรที่จะอ่านไป เถียงไป เพื่อเพิ่มพูนจิตวิเคราะห์ การคิด ไม่เชื่ออะไรที่เป็นข้อสรุป ที่เป็นสำเร็จรูป เพราะจะเป็นการปิดกั้นสมองตัวเราเอง
        ไม่ว่าจะเป็นชื่อชั้นหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นชื่อชั้นคนเขียน ไม่ว่าจะเป็นการประชาสัมพันธ์ที่ดี จึงทำให้มีคนรอพบคุณแขกในวันดังกล่าวเป็นจำนวนมากครับ เรียกว่าคุณแขกแทบไม่ว่างมือเลย จนเมื่อถึงรายของผม ปากกาเจ้ากรรมของคุณแขกก็มาหมดเอาพอดี เลยต้องยืมทีมงาน เลยได้อยู่กันนาน

        วามสำคัญหรือจุดประสงค์ที่หาได้จากหนังสือเล่มนี้ คือ การที่เราจะมีความคิดเห็นอย่างไรหรือเราจะเชื่ออะไร ก็ควรที่จะมีความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ อย่างชัดเจน ซึ่งควรชั่งน้ำหนักกัน ก่อนที่จะเชื่อ เพื่อเพิ่มพูนสติปัญญา อย่าไปเชื่อเพราะบุคคลนั้นดี สูง เป็นพระ หรือไปเชื่อเพราะว่าสิ่งนั้นดี งาม จนไม่กล้าตั้งคำถาม ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นนั่นก็คือเราได้รับชุดความเชื่อแบบสำเร็จรูปไป และเราก็จะปักใจเช่นนั้น บางครั้งบางทีตำราต่าง ๆ ซึ่งเป็นหลัก อย่างที่สอนเราในชั้นมัธยมก็ดี ประถมก็ดี จะมีพื้นฐานแห่งความเป็นรัฐอยู่ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ อย่างที่บอกกันว่า “ผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์”
        เราจะเห็นได้ตลอดว่า ข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ มีความครึ่ง ๆ กลาง ๆ ทางด้านเนื้อหา และชัดเจนในจุดประสงค์ว่า การดำรงความเป็นชาติ มีความสำคัญ การรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มีความสำคัญ เป็นสิ่งที่เราต้องทำมากกว่าสิ่งอื่น และการบันทึกประวัติศาสตร์ลงในสมุดหนังสือตำราทั้งหลาย เราจะเห็นได้ว่า จะเน้นวีรกรรมของบรรดาพระมหากษัตริย์กันเสียส่วนใหญ่ ว่าไปทำอะไรเพื่อบ้านเมืองบ้าง และออกแนวชื่นชม แต่ละเลยที่จะพูดถึงรวมไปถึงยกย่องชาวบ้านธรรมดาที่ก็ร่วมรบเคียงบ่าเคียง ไหล่กันมา (จะมีบ้างก็อย่างชาวบ้านบางระจัน แค่นั้น) จนทำให้คนที่ได้เรียนกันมีความรู้สึกและเชื่อตามอุดมการณ์ของรัฐที่จัดวาง ให้
        หรือแม้แต่ทางพระพุทธศาสนา ก็มีข้อมูลสำเร็จรูปออกมาสอนเด็กให้เชื่อให้รู้กันอย่างนี้ พระพุทธเจ้าทรงเป็นพวกอารยันผิวขาว เป็นเผ่าศากยะ ออกบวชเพื่อแสวงหาความหลุดพ้น แต่ปัจจุบันก็มีนักวิชาการด้านพระพุทธศาสนาหลายคน ออกจะคิดเล่นเห็นต่าง ก็คือ อ.เสถียรพงศ์ วรรณปก ท่านมองต่าง โดยอ้างอิงพระไตรปิฎกหลายเล่ม บอกว่า ที่พระพุทธเจ้าต้องออกบวช ก็เพราะปัญหาการแย่งน้ำของพระประยูรญาติทั้งสองฝ่าย
        แล้วนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด “พระพุทธรูปปางห้ามญาติ” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปของคนที่เกิดวันจันทร์
        เพราะฉะนั้น ข้อมูลสำเร็จรูปจะยกแต่ข้อดี ๆๆๆๆ มาเพื่อให้คนเชื่อ และข้อดีทั้งในด้านสถานะและการกระทำนั้น มันเป็นการ “ปิดปาก” ของคน ไม่ให้ตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่หลายคนคิดว่าศักดิ์สิทธิ์ พูดไม่ได้ เถียงไม่ได้ เช่น อาจจะมีคนสงสัยว่า เมื่อพระพุทธเจ้าประสูติ ก็ยืนเดินได้เลยหรือ หรือที่มีดอกบัวมารับ 7 ดอกอะไรนั่นน่ะ จริงหรือ
        ในชุดสำเร็จรูปนั้นเองนอกจากมีการสรุปให้สำเร็จรูป เหมือนกับติวรอบสุดท้ายที่จะมีการสรุปสูตรอะไรต่าง ๆ แล้วให้ไปอ่านไปทำเอา ก็จะพบว่ามีการละเลยอะไรบางอย่าง ที่คนทำมักจะจงใจลืม แต่ก็ทำต่อโดยให้เห็นว่า ดี หรือดีโดยไม่มีที่ติ เช่น การละเลยที่จะพูดถึงพระนางยโสธรา หรือราหุลกุมาร ในช่วงหลังที่พระพุทธเจ้า ออกผนวช ซึ่งต้องค้นหาในหนังสือนอกที่ไม่ใช่ในตำราเรียน หรือบทบาทของพระพุทธเจ้าในทางการเมือง อย่างในเรื่องแย่งน้ำกันนั่นแล ก็ไม่มีการทำให้ชัดเจน
        ดังนี้จึงเป็นกรรมของคนเชื่อ ที่จะต้องมีการแก้ไขความคิดเช่นนี้ ให้มีความรอบด้านมากขึ้น
        ในด้านการเมือง จะเห็นว่าประชาชนเริ่มที่จะมีการเลือกข้างชัดเจน คุณแขกยอมรับเลยว่า ไม่มีวงการไหนหรือแม้คนก็ไม่น่าจะมีความเป็นกลาง เราจะเห็นว่า คนที่ออกมาประกาศตัวว่าเป็นกลาง เช่น ที่ออกมากวาดถนน ล้างเสนียดจัญไรแถว ๆ แยกราชประสงค์ตามการเต้นแร้งเต้นกาของหมอ (ที่ลืมอาชีพตัวเองออกมาทำอาชีพนักการเมือง) บางคน แท้จริงก็ไม่ได้เป็นกลาง อาการไม่เลือกข้างนั้นเป็น “ความเห็นแก่ตัว” เพราะคนพวกนี้เลือกที่จะไม่ทำอะไรเลย เลือกที่จะอยู่เหนือความขัดแย้ง แล้วเมื่อการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย มีวันเลิกรา มีผู้ชนะ คนพวกนี้ก็จะกระโดดเข้าไปอยู่ในฝ่ายผู้ชนะทันที
        มันคือ “การฉวยโอกาส” ที่น่าละอายที่สุด
        เพราะฉะนั้น หนังสือ “เปิด เปลื้อง เปลือย คำ ผกา” จะส่อให้เห็นถึงสันดานแท้ของผู้เขียนที่เมื่อท่านเปิดอ่านแล้ว ก็จะพบความตรงไปตรงมาของถ้อยคำและความคิด ของผู้หญิงที่ชื่อว่า “คำ ผกา”
        แรงแค่ไหน “ลองอ่าน”
        และบางที หนังสือเล่มนี้ก็อาจจะตอกหัวใจท่านด้วย “ความจริง” ที่ทำให้ท่านแอบประท้วง “คำ ผกา” อยู่ในใจ !!

        นี่คือผู้หญิงที่สังคมไม่รู้จัก (ไม่ได้แล้ว) สำหรับ “คำ ผกา” หรือ “ลักขณา ปันวิชัย” และหนังสือ “เปิด เปลื้อง เปลือย คำ ผกา” ซึ่งก็ขอเชิญชวนให้ทุก ๆ ท่านหาซื้อหนังสือปกสีลิ้นจี่เล่มนี้ได้ตามร้านหนังสือทั่วไป ราคาปกติ 165 บาท แต่ถ้ามีสิทธิ์อะไรก็คงจะได้ลดตามเงื่อนไขแต่ละพื้นที่
        อ้าว กะว่าจะไม่โฆษณา แต่ก็เรียบร้อยไปแล้ว เหอะ ๆ
        แล้วนี่ก็คือเหตุผล ที่ทำให้เกิดรูปภาพข้างต้น...
        ระหว่างนักเขียนฝึกหัดรุ่นน้อง กับ นักเขียนฝีปากกล้าระดับประเทศ
         “ก้อนอิฐ” กับ “คำ ผกา”

10 ตุลาคม 2554