วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

โอ้ “เสก” (โคลงสี่สุภาพ)

                ๏ เสกสรรปั้นไต่เต้า                เกียรติตน
        แต่งแต้มชื่อนามจน                         แปลบเปรี้ยง
        เร่งซักซ้อมฝึกฝน                            จนแม่น เพลงนา
        ดีดุจเด่นเล่นเลี้ยง                           ชีพเชื้อแห่งตน
                ๏ เสกสรรบรรเจิดหล้า            สิบปี กว่าเอย
        ชนนิยมไมตรี                                พูดพ้อง
        ชมใกล้ไม่หลีกหนี                           ทวีศักดิ์
        แฟนเพลงตะโกนก้อง                       สุดหล้าวาที
                ๏ เสกสุดจะเดาได้                  ในความ
        ลับหลังปรากฏนาม                         สบเอื้อ
        แอบทำลับหลังยาม                         กาลว่าง เพลงแฮ
        เมียจึงเปิดเกิดเกื้อ                          ภาพร้ายเต็มตา
                ๏ ชนเต็มตาตื่นเต้น                สว่างตา
        ชื่อเสียงกลบนามา                          หมดสิ้น
        เสกเสพพี้แต่ยา                              สุดยอด คนเอย
        ตบะเมียขาดวิ่น                             จึ่งต้องจับแฉ
                ๏ แม้นอมพระป่าวป้อง            ตัวเอง พ่อเอย
        ก็มิหลอกแฟนเพลง                         ให้เชื่อ
        ทอนค่ามิหวั่นเกรง                         คนด่า ดับนา
        จะพาลพังยืดเยื้อ                           สุดสะท้านเอาอาย
                ๏ อนาคตหมดแล้ว                เสกเอย
        เกียรติถูกลบละเลย                        ห่อนป้อง
        ตัวเองยังเฉลย                              ซึ่งธาตุ แท้นา
        ปรากฏต่อพี่น้อง                            บ่ายหน้าแชเชือน
                ๏ จะกลับมาดังแล้ว                ยากนัก
        สันดานตนประจักษ์                        ถ่องแท้
        หมดศรัทธาแลรัก                          จักหมด
        ยากนักจักคิดแก้                            แต่แทบเลือนลาง
                ๏ จบฉากชีวิตโอ้                    เสกหนอ
        เสียงเพลงสล้างคลอ                        เปี่ยมปั้น
        แต่นี้ บ เหลือหลอ                          จักปิด เอานา
        แฟนเพลงเห็นปิดกั้น                        ส่ายหน้าอาดูร
                ๏ อุทาหรณ์สอนให้                 คนจำ
        อย่าคิดชั่วระยำ                              แตะต้อง
        จะเหมือนเสกที่ทำ                          หมดค่า เองเอย
        เป็นดาวดับคนจ้อง                         สาปแช่งเจียรกาล

26 ธันวาคม 2554

2555 (ร่ายสุภาพ)

        ๏ ปีสองห้าห้าสี่ ปีที่จะผ่านพ้น สัปดนบ้านเมือง มีแต่เรื่องวุ่นวาย กลายจะเป็นเมืองทุกข์ หาสุขมิใคร่มี สงครามสียังคง ดี บ ลงเลยหนอ โอละพ่อทุกเรื่อง เป็นเมืองที่สับสน  สุดกังวลเบื้องหน้า มิใคร่สาธยาย ทำนายมิใคร่ถูก แต่ต้องผูกผลดวง ตักตวงปัญหาต่าง แนวทางแก้ปัญหา ดูช่างน่ามืดมน อนธกาลงานสร้าง มิกระจ่างแจ้งเลย เรื่องเคยแย้งยังคง คนยังสงสัยอยู่ คนยังสู้เต็มเมือง เอาเรื่องเท็จแปะโป้ง คนโกงยังลอยหน้า คนฆ่ายังลอยนวล สวนทางกระแสกรรม คนระยำตั้งมั่น สุดกระสันอำนาจ ประหลาดยอดมนุษย์ สุดทำนายจิตใน สุดแปลใจให้ตก วกวนในเหตุการณ์ งงสันดานจริต ทำพิษให้สังคม คนชมยังชมอยู่ มิได้รู้ความจริง หัวถูกสิ่งแปลกปลอม ย้อมไม่ให้คิดเป็น ดังเช่นคือหุ่นยนต์ ละลวยมนต์เป่าเสก ให้วิเวกวายวาง จนเป็นกลางข้างหนึ่ง สุดจะทึ่งความคิด โยนผิดให้หมู่เขา หมู่เรายกว่าดี แยกสีแยกข้างกัน ก็ใครมันแยกก่อน ทุกตอนรู้เห็นชาติ เสือกแยกญาติตีกัน มันก็เพื่อนกันมา ทว่าเรื่องเล็กน้อย ค่อยลามไปทั่วถิ่น แดนดินจนรอบโลก วิโยคให้เขาเห็น เหมือนเป็นเช่นละคร ทุกตอนกล้ำกลืนดู อดสูในศักดิ์ศรี นารีเป็นนายก ถูกถลกหนังสิ้น จากจินตนาการ ปานประดุจไม่มี ข้อเหตุดีเล่นงาน เล่นแต่การเขียนพูด ดังกระฉูดชื่อเสีย นัวเนียกันตุบตับ รับแต่ชอบเสมอ ไม่เผลอไม่เอาผิด มันคิดปราบปวงชน จนเกิดมิคสัญญี นารีถูกกล่าวโทษ ไม่โปรดเลยสักนิด เหมือนคิดจะฆ่าแกง กำแหงแม้สตรี ด่าดีด่าได้นัก มันคักกันแม่น บ เยินยอแต่คนดี ไมตรีแต่คนธรรม ระยำกับคนถูก จากผูกเหตุเลือกตั้ง ทั้งเสียงมากทั้งหลาย เป็นควายกันหมดสิ้น มิรู้ผินทางไหน มีแต่ใส่ประโคม แนวโน้มจะเลวลง ก็คงจะฆ่ากัน อีกครั้งกลางคันเอย คงเฉลยมิยาก ถ้าหากคนยังเป็น เช่นดังฆาตกร จะเห่าหอนทั่วโลก ไทยจะโศกโศกา เหว่ว้าไม่มีใคร คบไม่ได้ไทยนี่ มีแต่เรื่องประหลาด เช่นชาติวนิดา ต้องสรรหาเรื่องพูดปด สลดจิตจดจำ คนระยำเช่นนี้ ศักดิ์ศรีมีน้อยนิด ทำพิษให้บ้านเมือง เอาเรื่องปดมายำ กรำเหตุปดตามกัน คิดสรรแต่โกหก มีแต่นกสองหัว ชั่วช้าไม่ซื่อสัตย์ จากพลัดซึ่งเป็นธรรม แบ่งชั้นก็คนสูง จูงชาวบ้านฉิบหาย สนตะพายคิดหรือ ว่าคือจะลากได้ ชาวบ้านมิใช่โง่ โตก็มีความคิด อย่าจำกัดสิทธิ์เสียง ได้เพียงแค่หายใจ ในแดนดินเช่นทาส นี่ราษฎรชาวไทย เราใหญ่เท่าเทียมกัน อย่าคิดแบ่งชาติชั้น ห่อนเช่น อินเดีย เถิดนา ๚

        ๏ ปีสองห้าห้าสี่ ประชาชีอ่วมอรทัย บ้านไพรยันเมืองหลวง ช้ำทรวงเหตุคงคา มิปรานีข้าน้อย แม้ถอยมิมีทัน เขื่อนขันธ์มิอาจต้าน ฟ้าประทานเหตุโศก วิโยคเหตุระทม ขื่นขมทั้งแดนดิน เหมือนทมิฬดินนี้ ไม่มีหลักประกัน เปลี่ยนผันตลอดกาล จิตสงสารผู้ทุกข์ ฤาสนุกอีกหรือ ต้องเป็นมือมือหนึ่ง ซึ่งช่วยเหตุคนยาก ตรากตรำหนีมวลธาร สุดต้านคนล้มตาย วายอนาถสุดสิ้น แผ่นดินเละเป็นกอง น้ำตานองทั่วหน้า ปรากฏซากเมืองช้ำ มืดดำในวิถี ไมตรีแทนจะทอด สุดตลอดทับท่วม แต่ด้วยอ่วมอรทัย ใช่คนจะจับมือ ถือน้ำใจไมตรี ตามวิถีคนไทย มิใช่เสียอีกแล้ว คนจะแคล้วความมิตร จะผลิตเรื่องชั่ว เมามัวทำลายกัน ชั่วกัลปาวสาน อย่าหาการสามัคคี แผ่นดินนี้อีกเลย เฉลยกึ่งทำนาย มิใช่แช่งแต่คล้าย เช่นนั้น แสนถวิล ก่อนนา ๚

        ๏ หวังเท่าที่จะหวัง ยังไม่เห็นทางเป็น เช่นไม่มีทางออก เป็นมะกอกสามตะกร้า จะปาตามใจหวัง ดังสำนวนนานมา ว่าปาไม่ถูกลง คงจะเป็นเช่นนั้น แต่คงยังทันหวัง พอประทังชีวี ให้มีความชุ่มชื้น ตื่นสู้ในปีใหม่ เอาชัยตามครรลอง ปีสองห้าห้าห้า ปีนี้มาเลขตอง จ้องจะเล่นเป็นเบอร์ ด้วยความเพ้อเบอร์หวย เลขสวยเพราะตองห้า มีนัยยะมาพร้อม กล่อมชีวีคนทุกข์ ให้สุขเพราะเลขห้า หัวเราะฮาตัวงอ ก่อประเด็นสุขสันต์ ประชันเรื่องหมดสุข สนุกเอาไว้ก่อน ให้จากจรเหตุระยำ ทำชีวีมอดไหม้ จากใจนักการเมือง มิประเทืองปัญญา เปิดมาด่าใส่กัน หาเหตุประชันเอา ประจันเข้าใส่สี พาทีมิสร้างสรรค์ ทุกวันคืนสะอื้นไห้ เป็นไทยนี้ขายหน้า น้ำท่วมมาด่าแหลก มิแตกต่างจางหาย มิคลายจากแต่ก่อน สักท่อนท่วมเอาซ้ำ ด้วยคำน้ำลายคน ยินยล บ เป็นสุข จะรุกเพื่อฆ่ากัน เอามันกันอีกรอบ เพื่อตอบใจตัวเอง นักเลงฆาตกร ให้พรด้วยลูกปืน หยัดยืนยัดความเท็จ ใส่เสร็จ บ รับผิด สนิทซึ่งคำคน บ สนสักสิ่งใด จะเป็นไฟลุกท่วม ร่วมแผ่นดินถิ่นนี้ อันถิ่นมีซึ่งชาติ ศาสน์กษัตริย์พร้อมหน้า แต่กลายมาเป็นวิถี วิธีเครื่องมือชั่ว ให้ตัวลอยเด่นดี ไม่มีคราบมัวมอง เห็นตัวต้องสะอาด แล้วสาดให้คนอื่น อย่าฟื้นหือนะมึง ดำรงความขึ้งแค้น แสนสาหัสตัดมิตร เพราะความคิดต่างกัน จะฆ่าฟันลูกเดียว แม้ไม่เกี่ยวเหตุตรง ลงท้ายพวกล้มเจ้า เอาเข้าคุกตะราง อย่างเมามันอำนาจ มิคิดคลาดความตน เหลือล้นความโกรธแค้น สุดแสนน่าอับอาย เห็นแต่ทางอย่างร้าย มอดม้วย ลูกเดียว แท้นา ๚

        ๏ จงหมดโศกแลทุกข์ สุขกันถ้วนเพียบพอ ขอแต่บรรดาเรา อย่าทำเศร้าอีกนา บรรดาเราสำคัญ มิฉะนั้นไม่เป็นไทย เผชิญใครทั่วหล้า อย่าได้หาเรื่องทุกข์ ให้หมดสุขอีกเลย คนสอนมิเคยจำ แม้นคิดซ้ำจงถอย ปล่อยวางกันเสียบ้าง ให้เป็นอย่างรุ่นหลัง เขาก็ยังเด็กอ่อน ซ่อนนัยดังผ้าขาว แวววาวประกายเลิศ อย่าให้เกิดเสียคน จะสนแต่ตาราง จืดจางน้ำหทัย ไมตรีจะพลิกล่ม เมืองจะจมทั้งเป็น เช่นเวียงกุมกามนี้ ปอมเปอีก็ใช่ มิไร้หลักฐานมา คนดีจะเหว่ว้า หมดสิ้น ถิ่นเรา แท้เอย ๚

        ๏ ขอคุณพระไตรรัตน์ ซึ่งสัตย์พระพุทธองค์ จารลงในพระธรรม ด้วยคำแห่งพระสงฆ์ ดำรงความศรัทธา ใจประชาไทยเนา มิรู้เบาขาดมา เกียรติแลบารมี พระภูมีล้นเกล้า อันแต่เนานานมา คุณาแห่งเลือดเนื้อ ชีวีเพื่อผดุง มุ่งหมายแผ่นดินไทย วีรชนใหญ่ยิ่ง อย่าได้ทิ้งอนุชน คนรุ่นหลังยังอยู่ ผดุงชูหมู่เรา ให้นานเนาสถิต ประสิทธิ์สถาพร อย่าได้คลอนหวั่นไหว แผ่คุ้มไกลทั่วหน้า อย่าได้มีมัวหมอง ถอยลงคลองอีกหน จงพ้นปัจจามิตร ที่คิดชั่วมิวายวาง ฟ้าจงสางสีรุ้ง ส่องทุ่งท้องถนน ยลดูรู้สวยงาม จงคืนความเป็นธรรม นำให้พัฒนา ประชาธิปไตย ทุกหทัยได้รับ จับตาเพริศพริ้งนัก จงประจักษ์แก่เรา จงเห็นเค้าเราคิด ซึ่งสิทธิเสรี เป็นศักดิ์ศรีชาวไทย ไร้ชนชั้นแบ่งแยก แตกต่างอย่ากลับมี สามัคคีทุกคน พ้นทุกข์สุขอนันต์ หวังและหวั่นโดยจิต คิดให้ว่าเป็นจริง จักได้พิงกายแอบ เอาแนบบ้านเมืองใหม่ ที่สดใสกว่าเดิม และเติมแต่งสีสัน ด้วยบรรดาแสงสี มิตรไมตรีทั่วหล้า ปัญหาใดอย่ามี ไพรีจงพินาศ แม้นวาดอย่าได้เห็น จงลำเค็ญทางชั่ว หายมัวกลับเป็นคน ค่าตนกลับเด่นดี สามัคคีมีพลัง แม้นใจหวังยังยาก ก็หากเราทิ้งเกี่ยง ไม่เลี่ยงภาระเรา จะเอาก็เป็นง่าย คลายแรงกายแรงใจ ฝากความแต่นี้ไว้ ก็ด้วย หวังดี แน่นา ๚ 

29 ธันวาคม 2554

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554

“ตรังวิทยา” บทสรุปสุดท้ายของการต่อสู้ของนักเรียน “ร.ร.เอกชน” ก็ไล่ ผอ.ได้


เอื้อเฟื้อภาพทั้งหมดจาก “เว็บไซต์ผู้จัดการ”

        “บอกหน่อยได้ไหม บอกฉันก่อน ว่าเธอคิดถึงใคร...”
        เสียงเพลงที่ฟังดูแล้วก็จะรู้ว่า “เก่า” พอสมควร ดังขึ้นระหว่างการชุมนุมของนักเรียนโรงเรียนตรังวิทยา (ต.ว.) อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ที่ผ่านมา เพียงฟังดูแล้ว เราก็พอจะรู้ว่านักเรียนของ ต.ว. ในขณะนี้กำลังคิดอะไรกันอยู่ เมื่อประกอบกับป้ายข้อความต่าง ๆ อาทิเช่น
        “60 ปี ต.ว. อย่าชิบหายเพราะอารีย์”
        “500 บาท ค่าห้องพัฒนาแล็บเอาไปไหนหมด”
        บวกกับใบปลิวที่มีการแจกให้กับนักเรียนไปทั่วบริเวณการชุมนุม ที่มีข้อความในลักษณะโจมตีว่า
        “ความ บ้าอำนาจเผด็จการไม่ยุติธรรมจะหมดไปจากตรังวิทยา ถ้าวันนี้เราสร้างความสามัคคีรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ขจัดอำนาจมืดให้หมดไป คืนความสงบสุขให้ชาวตรังวิทยา ด้วยความอาลัยยิ่ง อารีย์-สุพิศ ไปสู่ที่ชอบ”
        เราก็พึงจะทราบว่า เกิดอะไรขึ้นกับ ต.ว. ในขณะนี้
สัญลักษณ์โรงเรียนตรังวิทยา
        โรงเรียนตรังวิทยา เป็นโรงเรียนเอกชนชั้นนำขนาดใหญ่ 1 ใน 5 แห่งในจังหวัดตรัง โดยเป็นโรงเรียนของชาวจีนที่มาตั้งรกรากอยู่ในจังหวัดตรัง และเป็นสถานศึกษาที่นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีเคยศึกษาอยู่ ปัจจุบันมีจำนวนนักเรียนอยู่ในระดับหลักพัน เปิดสอนตั้งแต่ชั้น ม.1-6
        โรงเรียนแห่งนี้มีผู้บริหาร ทั้งผู้รับใบอนุญาต ผู้จัดการ รวมถึงผู้อำนวยการมาหลายคน ผ่านการบริหารมาด้วยดีกว่าหลายสิบปี
        จนกระทั่งโรงเรียนอยู่ภายใต้การบริหารของผู้จัดการที่ชื่อ “นายอารีย์ อาภรณ์” และผู้อำนวยการโรงเรียนที่ชื่อ “นายสุพิศ เอียดชูทอง”
        ผู้บริหารสองคนนี้ ไปทำอะไรขึ้นมา นักเรียนจึงต้องรวมตัวกันขับไล่ ?!

        นายจักรกฤช ชุมด้วง ตัวแทนนักเรียน ม.6 ได้กล่าวกับแหล่งข่าวว่า นายอารีย์และนายสุพิศ เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งเมื่อไม่นานมานี้ ต่อจากนายจำรัส สรพิพัฒน์ และนายศิริภัณฑ์ ทยานกิจเจริญ ซึ่งเป็นผู้จัดการและผู้อำนวยการคนก่อนตามลำดับ และได้สร้างปัญหาขึ้นมาหลังจากที่ได้รับตำแหน่งมาไม่นาน  
        นั่นคือ เมื่อสอบเสร็จวันแรก ไม่นานมานี้เอง โรงเรียนไม่อนุญาตให้นักเรียนรับประทานอาหารก่อนเวลา 12.10 น. แต่นักเรียน ม.6 จำนวน 25 คน ทนหิวไม่ไหวจึงออกจากโรงเรียนไปรับประทานอาหารข้างนอก เมื่อกลับมาโรงเรียนจึงถูกโรงเรียนออกคำสั่งภาคทัณฑ์ อีกทั้งเชิญผู้ปกครองนักเรียนเหล่านี้มาพบ และสั่งให้เขียนใบลาออกทิ้งไว้ ซึ่งโรงเรียนจะเก็บไว้ พร้อมทั้งยังบอกอีกว่าหากทำผิดอีกจะไล่ออกทันที
        ซึ่งคำสั่งภาคทัณฑ์ต่อนักเรียน ม.6 ทั้ง 25 คนนี้ถือว่าเป็น “การกระทำเกินกว่าเหตุ” ของผู้บริหารโรงเรียน
        นอกจากนี้เอง ผู้บริหารทั้ง 2 คนยังใช้อำนาจตัดงบกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ เช่น วงโยธวาทิต และกีฬา อาทิ ฟุตบอล วอลเลย์บอล ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมที่สร้างชื่อเสียงให้กับ ต.ว. ในระดับภาคมาแล้ว โดยผู้บริหารอ้างเหตุผลในการตัดงบเหล่านี้ว่า “สิ้นเปลืองงบ”
        ผู้บริหารยังบีบนักเรียน ม.6 จากที่มีอยู่ 3 ห้อง ให้เหลือเพียง 2 ห้อง ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนนักเรียนทั้งหมด 112 คน นั่นคือ เฉลี่ยแล้วจะมีนักเรียนแต่ละห้องคือ 56 คน  
        เรา ๆ ท่าน ๆ ที่อยู่โรงเรียนดัง ๆ ก็คงจะประสบเหตุการณ์เหล่านี้เช่นกัน เพียงแต่ว่า จำนวนนักเรียนในห้องมันไม่มากมโหฬารถึงขนาดนี้ครับ บางที 45 บ้าง 50 บ้าง
        แต่นี่ถึง 56 คน ซึ่งคิดได้อย่างแน่นอนว่าห้องที่อยู่กันนี้มันจะแออัดถึงขนาดไหน และจะดูแลกันทั่วถึงหรือไม่
        อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นการทำเกินกว่าเหตุ คือ การกลั่นแกล้งครูที่สอนอยู่มานานให้ลาออกไปโดยไม่เป็นธรรม

        สิ่งเหล่านี้จึงเป็นสาเหตุที่นักเรียนของ ต.ว. นำโดยประธานสภานักเรียนคือนายสุวิทย์ ทองผุด จัดการชุมนุม พร้อมกับยื่นหนังสือต่อสมาคมศิษย์เก่าและเขตพื้นที่การประถมศึกษาตรัง เขต 1 เพื่อให้มีหนทางการแก้ไขความวิบัติที่เกิดขึ้นใน ต.ว. นี้
        เรื่องราวเหล่านี้ในที่สุดจึงมีการเจรจากันจากทุกฝ่าย เกิดความตึงเครียดจนนักเรียนได้ยื่นคำขาดว่า จะต้องมีความเด็ดขาดในข้อสรุปภายในวันที่ 20 ธันวาคม ซึ่งหากคำตอบเป็นที่ไม่พอใจ จะจัดการชุมนุมอีก อีกทั้งจะเขียนใบลาออกทั้งโรงเรียนอีกด้วย
        เหตุการณ์นี้จะจบลงอย่างไร เป็นสิ่งที่นักเรียนของ ต.ว. และเรา ๆ ผู้ที่มีความห่วงใยในการศึกษาไทยทุกคน จะต้องเฝ้าติดตามดูอย่างใกล้ชิด และต่อเนื่อง
        ในปีนี้เองจังหวัดตรังเคยเกิดการชุมนุมของนักเรียนมัธยม ในช่วงต้นปี ซึ่งเป็นกรณีของนักเรียนโรงเรียนเอกชนเช่นกัน แต่เป็นโรงเรียนเอกชนประเภทโรงเรียนการกุศลในพระพุทธศาสนา หรือที่เราเรียกกันง่าย ๆ ว่า “โรงเรียนวัด” นั่นเอง
        เป็นกรณีของ โรงเรียนมัธยมวัดควนวิเศษมูลนิธิ (ม.ศ.ว.) ซึ่งได้จัดการชุมนุมประท้วงสื่อสารมวลชนท้องถิ่นในจังหวัดตรังที่ลงข่าวที่ มีเด็กตายจากการกระทำของครูเกินกว่าเหตุและยังบิดเบือนข่าว ทำให้เกิดความเสียหายทั้งญาติของเด็กผู้เสียชีวิต และทางโรงเรียน จนทำให้ลุกฮือกันทั้งโรงเรียน เป็นข่าวใหญ่กันมาแล้ว

        เหตุการณ์แบบนี้ คงจะเป็นเหตุการณ์ปิดท้ายการชุมนุมเพื่อเรียกร้องอำนาจ สิทธิ และเสรีภาพของนักเรียน ในปี 2554 ซึ่งจะเห็นได้ว่าทั้งปีมีไม่กี่เหตุการณ์ น้อยมากเมื่อเทียบกับปีก่อน ๆ เช่น 2552 หรือ 2553 ซึ่งมีกระแสเกิดขึ้นอย่างไม่ขาด อย่างที่ว่า การชุมนุมของโรงเรียนหนึ่ง สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้นักเรียนอีกโรงเรียนหนึ่ง ซึ่งอาจจะอยู่คนละจังหวัด หรือคนละภาค ให้จัดการชุมนุมขึ้นได้
        โรงเรียนมัธยมของรัฐที่เกิดการชุมนุมขึ้นในปีนี้ ได้แก่
        1.โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 2 (บ.ด.2) เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร ซึ่งจัดการชุมนุม 2 ครั้ง ในวันที่ 22 และ 28 กุมภาพันธ์ เพื่อขับไล่นายกมล บุญประเสริฐ ออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการ ซึ่ง ผอ. คนนี้เคยไปก่อกรรมทำเข็ญกับนักเรียนโรงเรียนราชวินิตบางแก้ว (ร.ว.บ.) อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ มาแล้ว จนจะเห็นได้ว่า การชุมนุมของนักเรียน บ.ด.2 มีนักเรียนของ ร.ว.บ. เข้าผสมโรงด้วย และเมื่อมีกระแสข่าวว่า จะมีการย้ายไปดำรงตำแหน่งที่โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) (บ.ด.) ที่เขตวังทองหลาง ก็ถูกนักเรียนของ บ.ด. ขับไสไล่ส่ง ไม่ต้อนรับอีกต่างหาก
        เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์เดียวที่มีการเผยแพร่ออกข่าวในสื่อกระแสหลัก
        2.โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา 3 สุราษฎร์ธานี (ม.พภ.3) อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในวันที่ 11 กรกฎาคม ซึ่งมีการชุมนุมประท้วงและเผาโลงศพจนมีผู้บาดเจ็บด้วย
        3.โรงเรียนกกตูมประชาสรรค์ รัชมังคลาภิเษก (ก.ป.ส.) อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ในวันที่ 21 กรกฎาคม ซึ่งเหตุการณ์นี้ยืดเยื้อมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว นักเรียนของ ก.ป.ส. เคยยื่นหนังสือต่อเขตพื้นที่ (ก่อนที่จะเป็น สพม.22 นครพนม-มุกดาหาร ซึ่งมีที่ตั้งในจังหวัดนครพนม) ให้ย้ายนายบุญเทศก์ บุษมงคล ออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการ แต่เรื่องก็เงียบไป จนต้องขับไล่อีกครั้งหนึ่ง โดยต้องโดยสารรถสองแถวข้ามจังหวัดเพื่อไปยื่นหนังสือต่อต้นสังกัดที่จังหวัด นครพนม
        4.โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร (จ.ค.) อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ในวันที่ 5 กันยายน นักเรียนได้ชุมนุมที่หน้าที่ว่าการอำเภอจัตุรัส เพื่อขับไล่นายสมชาย คำพิทักษ์ ให้ออกจาก ตำแหน่งผู้อำนวยการ
        เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเหตุการณ์ของนักเรียนมัธยมในโรงเรียนของรัฐในปีนี้ และพ่วงเหตุการณ์ล่าสุดของโรงเรียนเอกชนอย่างโรงเรียนตรังวิทยาเข้าไปด้วย จึงเป็น 5 เหตุการณ์

        ในวาระที่ปี 2554 นี้ใกล้จะสิ้นสุด และขึ้นปี 2555 ในอีกไม่ช้านี้ ขอเรียกร้องไปถึงเพื่อน ๆ และ น้อง ๆ นักเรียนที่ถูกกดขี่รังแกจากอำนาจมืด จากผู้บริหาร ในด้านต่าง ๆ ขอให้อย่ายอมจำนนต่ออำนาจมืดเหล่านี้ อย่าปล่อยให้อำนาจมืดมันรังแกเราทุกคนได้ จงยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิทธิและเสรีภาพของเรา ด้วยใจที่สู้ และไม่ยอมแพ้ เพราะใจที่สู้เท่านั้น จะทำให้ทุกสิ่งของเรา เป็นไปตามที่เราต้องการ เพราะเรา “เป็นใหญ่” ในโรงเรียนของเรา
        ขอให้ทุกโรงเรียนประสบพบกับชัยชนะในการต่อสู้ และจะรอคอยดูชัยชนะของเพื่อน ๆ น้อง ๆ ทุกคน !!

22 ธันวาคม 2554

“ปัจฉิมนิเทศ” อีแคระ !! (กลอนสุภาพ)

       จะเลิกด่ามึงแล้วเพราะกูเมื่อย     กูโคตรเหนื่อยตามด่าทุกแห่งหน
ถึงอีแคระกระแดะสัปดน                   กูสุดทนเพราะเห็นค้านสายตา
        อาการมึงหนักหนาและสาหัส       ทุกคนแทบชี้ชัดกันพร้อมหน้า
อีนี่ตายแน่มิผันพา                            ไฉนมารอดและปลอดภัย
        มีหน้ามาโทรโม้เยาะเย้ย             เอื้อนเอ่ยคำเดิมเริ่มศัพท์ใส่
กูละทึ่งซึ้งมึงมันเกินใคร                      เกินจะหาสิ่งใดมาเทียมทัน
        หลักฐานพยานมัดเต็มปาก         มิกระดากด้วยใจใฝ่กระสัน
ไม่รู้สึกสำนึกสักสิ่งอัน                       สารพันเจ้าเล่ห์เร่ขายกู
        คิดจะทดลองต้องกับเธอ             คิดจะปรนเปรอเรื่องสมสู่
ตะโกนก้องร้องห้ามอย่าเอากู                นึกศักดิ์ศรีเชิดชูกันบ้างนะ
        โถอีแคระมึงพูดกันไปได้              กูเห็นแก่ใจกันจะจะ
ทั้งน้องพี่ยืนยันมิวางละ                       ยังจะโวยวายถ้าเป็นกู
        หนอยถ้าเป็นคนอื่นคงเต็มที่          คงสำราญใจดีเวลาอยู่
มึงอย่าคิดว่ากูคงไม่รู้                          ชื่อเสียงมึงนอกจากกูรู้กันดี
        มันคงจะเป็นแต่ชื่อเสีย               ตัว ง งูหมาเลียแล้วคาบหนี
หมาคาบเอาไปประการนี้                    สิ้นที่ใจกูจะไว้ใจ
        ไม่รู้จะด่ายังไงดี                       ให้สมกับที่กูเจ็บใหญ่
พระพันวษาว่าอย่างไร                        กูคงว่าไปกันตามนั้น
        พระองค์ท่านทรงตัดสิน               เรื่องราวราคินวันทองนั่น
ทรงตัดสินอย่างไรใคร่รู้กัน                    ก็เพราะวันทองตอบมิใคร่ลง
        ก็ด้วยจิตใจอันโลเล                    จะกะเท่เร่ด้วยใจที่ใคร่หลง
จะใครสักคนก็พอปลง                         เพื่อจะดำรงชีวิตไป
        ทว่าตอบด้วยกลัวพระอาญา          ถนอมน้ำมิตราทุกคนให้
สาธยายคุณคนเป็นเช่นไร                     ให้แต่น้ำใจเลือกไม่ลง
        สุดแค้นแทนพระพันวษา              แทบจะฆ่าต่อหน้าเป็นผุยผง
ท่านลงพระอาญาสูงสุดตรง                   เอาไปตัดหัวจงเป็นผีไป
        นี่คืออุทาหรณ์สอนใจคน               อย่าใจสัปดนเที่ยวแถไถ
มีแฟนแล้วยังเที่ยวแถวบ้านใคร               ให้คนจับได้อยู่ทุกวัน
        รูปภาพตราบนี้ยังมีอยู่                 ยังน่าอดสูและน่าขัน
รูปคู่ถ่ายไว้สุดตื้นตัน                           มึงกับมันจูบกันไม่อายใคร
        เอาภาพเผยแพร่แบบเปิดเผย         ไม่เคยอายคนใช่หรือไม่
มึงอย่าโกหกประชาไท                        นึกว่าบ้านไพรกันรึมึง
        เสือกบอกว่าต้องสร้างละคร          ทุกขั้นทุกตอนละครทึ่ง
จูบจริงเล่นจริงมิเกลากลึง                    จะไม่เชื่อสักครึ่งก็ค้านตา
        จะรักกูคนเดียวก็ไม่ใช่                เสือกมีใหม่ไปเรื่อยเอาแท้ว่า
มีใครต่อใครให้ค้างคา                        กูสงสัยมาจนเลิกละ
        อย่างนี้ยังจะตอแหลหรือ             เขาคือเห็นชาติกันจะจะ
จะเอาอะไรกันอีกวะ                          จะใจพระหรือใจหมาก็ว่าเอา
        ราคีเต็มตัวชั่วเต็มกัน                 ระวังหัวนั้นจะเป็นเหา
ทั้งกลากเกลื้อนขึ้นเต็มเกินทำเนา          เพราะโกหกคนเขาทั่วแดนดิน
        กูไม่โกรธที่ท้องแล้วต้องแท้ง         แต่อยากรู้ให้แจ้งกันให้สิ้น
ไม่ระวังตัวเองให้เขากิน                     กูจะแค้นให้สิ้นกระบวนความ
        ทำไมหลายใจกันอย่างนี้            ไม่อิ่ม...หรือไงใคร่อยากถาม
แสดงหื่นฝืนดีอยากพี้กาม                    เป็นหญิงทรามงามประหลาดในฝูงแร้ง
        กลางวันนั่งเรียนเป็นเพื่อนกู        กลางคืนมึงอยู่กลางสีแสง
วันวันแอ่นกายให้เขาแทง                   กลายเป็นลิงอุ้มแตงอยู่กี่ครั้ง ?
        ขอพูดแรงสักครั้งในชีวิต             ไม่เคยคิดหยาบคายเกินเคยหวัง
ชีวิตผ่านมาแม้นพลาดพลั้ง                  ก็ไม่เจอจังจังเท่ากับมึง
        “จังจัง” กับ “จังไร” ใช่เข้าคู่       ถูไถใส่รูเพราะทะลึ่ง
กิเลสตัณหาพารัดรึง                          โชคดีไม่เจอมึงเอาอีกคน
        หน้าหนาก็เริ่มรู้สึกบาง               จากกระด้างมาอายทุกแห่งหน
รับฟังคำด่าของปวงชน                       เหลือล้นส้นตีนลอยมาไกล
        กูว่าโชคดีที่กูเลิก                       และกูก็ได้ฤกษ์หาแฟนใหม่
คิดว่าดีกว่าบานตะไท                        จะให้กลับไปคงไม่เอา
        ขอเลือกทางใหม่ที่ดีกว่า              เลิกเถอะจะให้มาอยู่อย่างเก่า
จบเถอะความสัมพันธ์ระหว่างเรา           มันสิ้นเอาตั้งนานแล้วละครับ !!
        สิ้นแต่โคตรมึงไม่เคยพอ              เสนอตัวให้ล่อทั้งไปกลับ
จะได้เงินหรือไม่แต่ได้รับ                     ซึ่งเชื้อกลายกลับเป็นโรคภัย
        มองดูไม่สู้เท่าสมเพช                   อันเหตุบัดสีทำงามไส้
จากการคิดสอดทอดกระได                   สะพานเอาให้เขาสอดเอา
        สนุกมึงไหมกูอยากถาม                รับในน้ำกามมากี่เท่า
อีแคระใจหมาปัญญาเยาว์                     เห็นใครก็ไม่เท่ามึงอีกแล้ว
        ซวยฟรีสองปีที่คบมึง                   ไม่ได้เคล้าคลึงเจ้าดวงแก้ว
หมดกันความหวังอันเพริศแพร้ว             เสียแล้วแก้วร้าวเพราะเขาทึ้ง
        ทำอะไรนึกก่อนทำบ้างนะ             ก่อนจะลงทุนทำให้ถึง
ไม่งั้นเสียไม่คุ้มแบบของมึง                    ถึงนั้นอย่าทะลึ่งขอแต่กู
        เตี้ยทั้งกายทั้งใจไม่ใครหรอก          ใครจะเท่าอีดอกจะกล้าสู้
อีที่เต้นวี้ดว้ายกระตู้วู้                           เสียงกระแดะแรดรู้กันทั้งนั้น
        มึงไปเป็นบุญกับกูมาก                  พอจากคนเขาแช่งสะบั้น
ใครรู้คบรู้พบว่าจบกัน                           เขาว่ากันทั้งนั้นโดยร่ำไป
        ถ้ามาเจออ่านเอาให้จงดี                ตอนนี้กูมีแล้วแฟนใหม่
เป็นเด็ก ม.ต้นค้นเองไป                         มีเป็นพันว่าใครก็ใจมึง
        โรงเรียนนั้นใหญ่กันสุดหล้า             จะสืบเอาก็บ้าแถมใจถึง
จะคบทิ้งจีบทิ้งแถมจับทึ้ง                       คบมากกว่าหนึ่งได้แต่ไม่ทำ
        เพราะกูรักใครกูรักจริง                  ไม่คบแล้วทิ้งกันเช้าค่ำ
เป็นผ้าอนามัยวัยระยำ                           มืดดำเอาทิ้งกันกลางคืน
        เป็นใครสรุปได้เดาไม่ยาก               จงกระดากหัวใจอย่าได้ฝืน
หมดเวลากูแล้วที่กล้ำกลืน                        หมดเวลามึงตื่นก็เช่นกัน
        อย่าเลวให้มากนะมึงน่ะ                   อย่าเจอกันจะจะให้หุนหัน
ให้เป็นเรื่องเคืองใจพัลวัน                         กูจะเอาให้เมามันอย่าห้ามกู
        เอาความชั่วของมึงเป็นแบบอย่าง        แนวทางที่มึงรู้กันอยู่
กูเลวได้กูจะเลวให้มึงดู                             ไอ้หน้าฉากจะดึงดูให้ยู่ไป
        ให้ท่านหญิงท่านชายกระจายศัพท์       ท่านคะท่านครับมันงามไส้
คนเคยดีวันนี้ทำจัญไร                              ไม่เหลือและไร้ซึ่งคุณงาม
        ก็ใครมันเลวให้กูดู                           กูจะเลวสู้มันกูยังถาม
ไม่คิดจะเกินหน้าใครก็ตาม                        ถึงแม้จะเล่นกามก็กลัวกรรม
        เป็นแบบมันฉะนั้นจะไม่คุ้ม                คนจะรุมกลุ้มมาหาเรื่องขำ
ทั้งที่เป็นเรื่องเคืองระยำ                            ทิ่มตำกูเป็นแบบกับมึง
        กูจะเลิกสนใจมึงเด็ดขาด                   ประกาศตัดญาติให้ใจถึง
จะเอาใจแฟนใหม่มีคนนึง                           นิสัยดีกว่ามึงหลายร้อยพัน
        จะเอาอะไรกับอีแคระ                       ออกตัวโสดให้แขวะกันขำขัน
มึงไม่สดจริงนี่ให้หลอกฟัน                           เหมือนกัดมันกินโธ่ ! รูโหว่กลวง
        จบจริงเลิกจริงหญิงชาติชั่ว                 หลายผัวใจหมาพาลุล่วง
ถึงเวลาติดสัดยกเป็นยวง                             มาหลายพวงผสมพันธุ์ให้บรรลัย
        ยืนบนภูดูหมามัน...กัน                     ใครจะยืนดูมันก็ยกให้
กูจะปักธงลงฉลองชัย                              กับแฟนใหม่รักกันจนวันตาย !!

ลาก่อนอีแคระ...!!
หวังว่าชาตินี้กูคงไม่เจอกับมึงอีก...!!
จนกระทั่งวันตาย...!!

23 ธันวาคม 2554

“ประชาธิปัตย์” อย่าลาม “ทะเลาะกับเพื่อนบ้าน” + อยากดังต้อง “สร้างสรรค์” ไม่ใช่ “เรียกตีน”

       ในช่วงไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่าเรามีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายทั้งในประเทศไทยของเราและในต่างประเทศ ซึ่งบางอย่างก็ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์และความทรงจำที่หาย้อนคืนไม่ได้อีก แล้ว
        ข่าวหนึ่งก็คือ การถึงแก่อสัญกรรมของประธานาธิบดี “คิม จอง อิล” แห่งเกาหลีเหนือ ซึ่งนำพาประเทศขับเคลื่อนไปในระบอบการเมืองแบบสังคมนิยมมากว่าหลายสิบปี เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแล้ว ประเทศก็คงจะได้ผู้นำคนใหม่ ซึ่งในหมู่ญาติของผู้วายชนม์คงจะคัดสรรกันขึ้นมาและเรา ๆ ก็หวังว่าจะมีการเปิดประเทศให้เป็นแบบเสรีนิยมมากขึ้น
        ในประเทศไทยเราก็มีหลายข่าวเช่นกัน ซึ่งข่าวใหญ่ ๆ ในรอบสัปดาห์นี้จะเป็นข่าวที่เกี่ยวโยงกับต่างประเทศ จะมีข่าวอื่นเล็ดลอดออกมาบ้างก็เป็นคดี “อากง” ซึ่งตอนนี้ก็ถูกขังคุกไปเรียบร้อยแล้ว
        เรียกว่าโดนเลขอาถรรพ์ “112” พิฆาตไปอีกหนึ่งคน

        เมื่อไม่กี่วันมานี้ นายกรัฐมนตรีของไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เดินทางไปเยือนประเทศพม่าเพื่อกระชับสัมพันธไมตรีกับผู้นำทหารและรัฐบาล รวมทั้งเดินทางไปพบกับนางอองซาน ซูจี ซึ่งถือว่าเป็นผู้หญิงที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน 30-40 ปี ในฐานะที่เป็นสตรีเพศด้วยกัน
        เราได้เห็นความคาดหวังของประชาคมโลก รวมทั้งประเทศไทย ที่จะให้พม่ามีความเป็นประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ อำนาจของประชาชนมากขึ้น ซึ่งทุกอย่างกำลังจะเป็นไปในทางที่ดี อีกทั้งกลุ่มอำนาจทหารก็มีการเปิดกว้างมากขึ้นในการที่จะให้ทุกส่วนทุกฝ่าย ได้ใช้อำนาจอธิปไตยของตนได้เท่าเทียมและเต็มที่
        สำหรับพม่า ก็เช่นกัน นางอองซาน ซูจี ก็ได้แสดงความหวังว่าประเทศไทยก็จะเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เช่นกัน
        ท่ามกลางมิตรประเทศที่ได้สนทนาประสามิตรกัน ดำเนินวิธีการทางการทูตไปได้ด้วยดี ก็จะพบปฏิกิริยาแปลกประหลาดจากคนบางกลุ่ม และบางกลุ่มในที่นี้ก็เป็น “กลุ่มเดิม ๆ” ตามการคาดการณ์ของใคร ๆ ที่จะคาดการณ์กันอีกเสียด้วย
        แน่นอน “พรรคประชาธิปัตย์”
        จะไม่ให้คิดแบบนั้นก็คงยาก แต่ก็ต้องคิดเพราะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
        คนในพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มไม่มีอะไรจะเล่นเป็นชิ้นเป็นอันกันแล้ว ตั้งแต่ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พาสปอร์ต ซึ่งมีคำตอบโดยชัดเจนและตีหน้ากลับมาจนคนพวกนี้หงายเก๋งไปตาม ๆ กัน แต่ก็ยังไม่เลิกที่จะหาประเด็นหยุมหยิมแบบ “ไม่เล่นก็ไม่รู้จะทำอะไรกิน” กันแล้ว ก็เลยหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาเล่น แถมประเด็นนี้เป็นประเด็น “ต่างประเทศ” เอาเสียด้วย
        บรรดาคนพลพรรคประชาธิปัตย์นั้น ออกมาโจมตีนายกรัฐมนตรีว่า ที่สามารถเดินไปกระชับความสัมพันธ์กับพม่าได้ ก็เพราะอาศัยความสัมพันธ์ของ “ทักษิณ” ซึ่งเป็นพี่ชาย กับพม่า
        คือ ผมเข้าใจว่าการออกมาเคลื่อนไหวของบรรดาคนพลพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงนี้ คงจะมี “บุคคลาธิษฐาน” ยืนตั้งตระหง่านมาแล้ว ถ้าเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับคน ๆ นี้หรือพอจะเกี่ยวข้อง ก็จะเล่นดะไปเสียหมด
        ก็เพราะเหตุนี้เอง เรื่องต่าง ๆ จึงถูกตีกลับด้วยข้อเท็จจริง จากหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งบางทีก็ไม่ใช่ขุมข่ายของรัฐบาลเอาเลย สุดท้ายก็จะโดนคนพวกนี้เหวี่ยงแหใส่ไปด้วยว่า “เป็นพวกทักษิณ”
        ผมบอกไว้เลยนะครับว่า วันนี้พรรคประชาธิปัตย์เสียเพื่อนไปหลายคนแล้ว เพราะการพูด การวิจารณ์แบบไม่ระวังปากแบบนี้ ปากหาเรื่อง ปากพาไป ปากจัด ปากหมา สารพัดปากที่อยู่ข้างในพรรค แถมนิสัยก็ไม่มีดีอะไร มีแต่นิสัยที่แม้ขนาดคนกันเองอย่างพันธมิตรก็หันหลังให้ และตั้งตัวเป็นศัตรู จนคนเสื้อแดงหลายคนยังพูดออกมาว่า
        “เห็นเพื่อนแฉกันเองขนาดนั้นเราก็พลอยจะมีความรู้ไปด้วย”
        คือ ในประเด็นพม่า มันไม่มีอะไรที่จะต้องมาเล่นกันเลย การไปกระชับความสัมพันธ์กันมันก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำกัน มิใช่หรือ ? แล้วถ้ามันจะเป็นด้วยความสัมพันธ์ของทักษิณ ซี้ย่ำปึ้กกันกับบรรดาทหารที่กำลังปกครองกันอยู่ในประเทศพม่า แล้วมันจะผิดอะไร ?
        แล้วทีตัวเองล่ะครับ บริหารประเทศกันแบบที่เพื่อนบ้านเองยังเอือมระอา ไปเรียกร้องแรกแหกกระเชอว่าประเทศพม่าควรเป็นประชาธิปไตยสักที โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองบริหารประเทศแบบไหน อย่างไร
        คือ บริหารประเทศจนประเทศเผด็จการด้วยกันยังไม่อยากจะคบเลย จนเขาปิดประเทศไม่ให้คนพวกนี้เข้า
        น่าขำ หรือ น่าสมเพช หรือ น่าจะเป็นอะไรก็ลองเป็นกันเอาเอง
        แต่ที่รู้ ๆ คนพวกนี้
        “หน้าแตก”

        ผมเห็นความย้อนแย้งอยู่ประการหนึ่งสำหรับการบริหารประเทศในรัฐบาลก่อน คือ หาว่ากัมพูชามาแทรกแซง หรือ เสือกกิจการภายในของประเทศไทยอยู่หลายประการ ถึงกับด่าผู้นำหรือบุคคลในระดับสูงกันเลยทีเดียว
        “กุ๊ย” ยังเป็นรอยด่างให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบางคนอยู่จนถึงทุกวันนี้
        ในฉากหนึ่ง คนพวกนี้เรียกร้องไม่ให้กัมพูชาเข้ามาเสือกเรื่องของบ้านเรา แต่ในอีกฉากหนึ่ง คนพวกนี้เอง กลับไป “เสือก” แบบ “เนียน ๆ” กับพม่า โดยฉาบคำอ้างว่า “หวังดี” ว่าอยากเห็นพม่าเป็นประชาธิปไตย ไปด่ารัฐบาลทหารเลอะเทอะเปรอะเปื้อน
        ก็อย่างนี้แหละถึงปิดประเทศไม่ให้คนพวกนี้เข้า
        สะใจ

        เรื่องด้านต่างประเทศอีกเรื่องหนึ่งที่ถือว่าแสดงภูมิปัญญาของพลพรรคประชา ธิปัตย์อย่างชัดเจน นั่นก็คือ เรื่องที่อากาศยานของกองทัพบกไทย เสียกะทันหัน แล้วเผลอไปรุกล้ำในดินแดนกัมพูชาเข้า จึงถูกอาวุธของทหารกัมพูชาตอบโต้ ในเขต อ.คลองใหญ่ จ.ตราด เมื่ออาทิตย์ก่อน เป็นเรื่องใหญ่ของทั้งสองประเทศ
        ในเรื่องนี้มีการพูดคุยกันในระดับทวิภาคีของตัวแทนทหารของทั้งสองฝ่าย ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และมีความตกลงกันที่ให้ทหารของทั้งสองประเทศทำงานของตนด้วยการถ้อยทีถ้อย อาศัยกัน และจะร่วมกันระแวดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก
        กล่าวคือ เรื่องดังกล่าวยุติลงแล้ว
        ทว่า ก็มีบรรดาคนพลพรรคประชาธิปัตย์ (เช่นเคย) แทนที่จะปล่อยเรื่องนี้ไปเพราะว่าได้ข้อยุติแล้ว กลับทำตัวเป็นพวก “ไม่จบ” แบบไม่จบไม่สิ้น แถลงข่าวเรียกร้องให้
มีการทำหนังสือประท้วงไปยังกัมพูชาว่าเราไม่ยอมให้เกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้น
        ผมมองดูแล้วก็สมเพชนิด ๆ พลางถามว่า
        “ก็เขาจบไปแล้ว คุณจะเอาอะไรกับเขานักหนา ทำตัวไม่จบไม่สิ้นซักที”
        กัมพูชา เป็น “ศัตรูร้ายกาจ” ของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะฮุน เซน อันเป็นนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ดันมีเพื่อนชื่อ “ทักษิณ”
        นั่นไง เพราะ “ทักษิณ” คนเดียว ก็สามารถปั้นเรื่องได้ทุกเรื่องแบบครอบจักรวาล นึกเรื่องอะไร ก็โดนถึง “ทักษิณ” หมด

        ผมเชื่อว่าคนที่ทำงานเกี่ยวกับต่างประเทศหรือชาวต่างชาติคงจะมีทีท่าเอือม ระอากับบรรดาคนพลพรรคประชาธิปัตย์กันโดยไม่ต้องคาดเดาอะไรมากมาย เพราะเมื่อเป็นรัฐบาล ก็มีท่าทีที่ไม่เป็นมิตรกับต่างประเทศ ชวนทะเลาะกันไปทั่ว แถมเป็นเพราะ “ทักษิณ” อีกเช่นเคย
        ทักษิณไปประเทศไหน ก็จะตามล่าไปทั่ว ได้แต่ปากแบะ ๆ ขู่ทูตประเทศโน้นทีประเทศนี้ที สุดท้ายก็ไม่ได้ผล เพราะต่างประเทศเขารู้เช่นเห็นชาติ
        ด้วยการ “ส่ายหน้า”
        เพราะเป็นเรื่อง “ไร้สาระ” ที่สุด
        เอาแค่เพื่อนบ้าน 4 ประเทศ ยังไม่มีปัญญาสร้างสัมพันธไมตรีเลย แล้วจะไปหวังอะไรกับประเทศไกล ๆ ที่จำเป็นจะต้องทำการทูตเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สร้างสันติภาพโลก ต่อรองผลประโยชน์กับมหาอำนาจ ได้ล่ะครับ ?
        ทะเลาะดะแม่งทุกประเทศ พม่า กัมพูชา มาเลเซียก็เรื่องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่บอกว่านโยบายดับไฟใต้ที่ทำได้ทันทีและจะลดได้จริง เท่าที่เห็นมันลดเพราะบรรดาสำนักข่าวเชลียร์เชียร์แหลกลดข่าว ไม่ตามข่าวจนรัฐบาลหน้าบาน แต่ความจริงมันยังยิงมันยังทิ้งตูมกันทุกวัน คนไทยพุทธไทยมุสลิมยังตายห่ากันทุกวัน
        ขนาดลาวที่เราเป็นเพื่อนทางภาษากันนั้น ยังกินแหนงแคลงใจกันเลย จนพอเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ได้รัฐบาลประชาชน ก็เริ่มที่จะฟื้นคืนความสัมพันธ์ ที่ถูกทำลายไปตอนที่มีรัฐบาลที่ทำงานเกี่ยวกับต่างประเทศห่วยแตก ทูตก็ได้แต่ใบ้กินเวลาที่ต้องตอบคนของประเทศที่ตนเองไปอยู่ ว่าตอนนี้ประเทศไทยเกิดอะไรขึ้น
        เอาแค่ง่าย ๆ ข่าวที่เด็กอมมือก็ยังรู้ก่อนนะ การตายของนักข่าว ช่างภาพต่างประเทศ ทั้งอิตาลี ญี่ปุ่น ไปถึงไหนกันแล้วครับ ?
        ทำไมเงียบ ?!
        ที่เงียบ เพราะรู้ว่าฝ่ายตัวเองทำ ใช่ หรือ ไม่ ?!

        ทุกสิ่งที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ทำนั้น เรารู้เช่นเห็นชาติกันหมดแล้ว โดยที่เราไม่จำเป็นต้องกะเทาะเปลือก กระพี้ แก่นสารอะไรกันออกมาอีก มันจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการฟื้นความสัมพันธ์ จากคนของรัฐบาลในขณะนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากในขณะนี้ เพราะถ้าไม่เร่งทำ ประเทศไทยก็จะเสียหายในสายตาของชาวโลกอย่างมาก แต่กระนั้นก็จะต้องตอบปัญหาที่เกิดขึ้นกับต่างประเทศในช่วงอุทกภัยด้วย เช่น สุขาจากญี่ปุ่นที่มีการทิ้งไว้ในสนามบินดอนเมืองเป็นจำนวนมาก เพราะมิฉะนั้น ก็จะถูกกล่าวหาว่าทุจริต โกง เลือกพรรคแบ่งพวก ได้
        อย่าให้รัฐบาลนี้ กลายเป็นอีกรัฐบาลหนึ่งที่ประชาชนจะ “ไม่เลือก”
        แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประชาชนก็จะมีสติ เลือกพรรคการเมืองที่เป็นตัวเลือกใหม่ ที่จะสามารถสร้างสรรค์ประเทศไทยได้จริง พรรคเล็กอาจจะมีโอกาสที่จะได้เป็นพรรคขนาดกลาง และพรรคขนาดใหญ่
        ก็จะไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์อยู่ดี
        เพราะ “ไส้” มันถูกลากออกมากองให้คนทั้งโลกดูหมดแล้ว !!

22 ธันวาคม 2554

คิดถึงเธอ (กลอนเปล่า)

“เขียนจากเหตุการณ์จริง”

ฝากถึงผู้หญิงคนนั้นด้วย...
ใครก็ได้...
ไม่ต้องถามเจตนา...
ไม่ต้องหาจุดมุ่งหมาย...
ทำตามคำสั่งฉันก็พอ...

ความถี่ของความห่วงใยและความคิดถึง
วันนี้เริ่มจาง...
เริ่มหาย...
เริ่มกลาย...
สิ่งที่เธอเคยให้ และเคยรับ
ลดลง...
และ…
กำลังจะหายไป
ช้า ๆ
และ
ช้า ช้า...

ใครก็ไม่รู้
บุกมาหาเราโดยที่ไม่ทันตั้งตัว
ดึงเธอไปต่อหน้า
เธอหายไปช้า ๆ
พร้อมน้ำตาของเธอ
น้ำตาฉันไหลพร้อมกับเธอ
ภาพนั้นเริ่มแวบเข้ามาและหายไป
มาเร็ว
ทว่า...
ไปช้าเหลือเกิน !!

จากวันนั้นมา
สิ่งที่เราเคยให้ เคยรับกัน
ตามแต่เธอจะคิด
แบบพี่น้อง
แบบเพื่อน
แบบ...
หายไป
หลายเวลา หลายวัน
เป็นใคร คนนั้นคงเศร้า และโหยหาอดีตที่มีความสุข
ฉันเป็นคนหนึ่ง
และมีทีท่าว่าจะหนักกว่าคนอื่น ๆ !!

เธออยู่ไหน ?
ฉันค้นหา
เธออยู่ไหน ?
ฉันสอดส่ายสายตา
เธออยู่ไหน ?
ฉันตะโกนร้อง
เธออยู่ไหน ?
ก็เริ่มสุดสิ้นสุดปัญญาสุดหาสุดค้นเห็นสุดคิด
เธออยู่ไหน ?
เลิกถามสักที...เหนื่อย !!

ใจของฉัน
ไม่เคยพอใจเลยที่ร่างกายของฉันทำได้แค่นี้
รอให้ร่างกายแข็งแรง
พร้อมที่จะค้นหาเธอต่อไป
ด้วยอาการกระวนกระวาย

เจอเธอ ฉันจะดีใจ
เราจะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม
เป็นพี่น้อง
เป็นเพื่อน
เป็น...
แต่ถ้าไม่เจอเธอ ฉันก็แค่...
ค้นหาเธอต่อไปด้วยความพยายาม
ไม่มีคำว่าเสียใจ
ไม่มีอาการร้องไห้
ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอ่อนแอ

จนกว่าเธอจะกลับมา
แล้วเราจะกลับมาห่วงใยกัน
ร้อง เล่น ปรับทุกข์สุขกัน
เหมือนวันเก่า

ปากของเธอหอมหวาน
รอยยิ้มของเธอสวย
เสียงของเธอน่ารัก
มือของเธอนุ่มนวล
ไม่อยากให้มันจากไป
พร้อมกับใจของเธอ
ที่ยอมแพ้กับโชคชะตา

ฉันเพิ่งรู้ว่าถ้าใครสักคนที่ฉันผูกพัน
เค้าหายไป
มันทำให้ฉันต้องเหนื่อย...
ที่จะค้นหาเค้าให้เจอ
หรือไม่ เค้าก็อาจจะจากไปโดยไม่กลับมา

เธอจะคิดยังไงก็แล้วแต่
ฉันไม่สนใจ
แล้วแต่เธอจะคิด
แต่ว่าฉัน...
คิดถึงเธอ !!

18 ธันวาคม 2554

ก (ล) าย (มึง) กลับ จิต (กู) ก็กลับ (กลอนสุภาพ)

       ตะลึงทึ่งเต้นเป็นเนืองนิตย์                นี่กูคิดผิดไปใช่ไหมนี่
ให้กูแน่นแค้นเคืองเปลืองเต็มที                  สุดท้ายไม่มีผลอะไร
        กุมารน้อยหมดแรงแล้วหรือลูก            ถึงเลิกผูกจิตแค้นกันหรือไม่
ก็โคตรกรรมร้ายแรงบานตะไท                    ก็ไฉนจึงรอดปลอดเหตุตาย
        เพื่อนร่วมห้องพี่น้องร่วมกันไล่             ให้มันไปพบกรรมทำฉิบหาย
เหตุไฉนใยกรรมมาทำกลาย                       หรือจะพ่ายแก่มันโดยฉันทา
        กูนี้มีรักประจักษ์ชัด                        ไม่คิดตัดขัดรักจักสรรหา
หวานดีมีใจให้กันมา                                มึงอย่าฟื้นมาให้ระแวง
        รำคาญหน้ามึงถึงที่สุด                      ลบเลือนให้หลุดทุกหนแห่ง
ในเฟซในคอมให้หมดแคลง                        ก่อนจะจดแจ้งให้ชัดเจน
        อย่ากลับมาหากูให้รู้ไส้                     อย่าใกล้กลับมาให้คบเล่น
มีกินเช้าเห็นเย็นฉันเพล                            ประเคนใจให้ไม่ต้องอาย
        ไม่เห็นจำเป็นต้องหากู                     มาทีต้องรู้กูต้องหน่าย
เกลียดชังฐานะว่าของตาย                         จะย้ายถิ่นอยู่ให้รู้ชาติ
        เสียเงินให้มึงถึงหลักหมื่น                  ไม่มีจะคืนให้สักบาท
เคยหวังและยังจะเคยคาด                        หมดปรารถนาอยากจะมี
        ขาดทุนย่อยยับกับความรัก                โดนมึงจัดหนักกันเต็มที่
ถอยจากมึงมาท่าจะดี                              ไม่เหลือราคีโสโครกตา
        คืนวันผันเปลี่ยนหมุนเวียนไป              นี่มันอะไรกันละหวา
กำลังรับกรรมที่ทำมา                               นี่มันหมดท่าหรืออย่างไร
        ทิ้งปรัศนีไว้เบื้องหลัง                        จะหมดหรือยังก็ไม่ใช่
พูดถึงไม่ใช่ว่าจะอาลัย                               แต่แค่ถามทำไมเป็นเช่นนี้
        ไม่หวังชี้กรรมยมราช                        ลงทาสลงทัณฑ์มันเป็นผี
จะคอยยืนดูอยู่ตรงนี้                                ตราบแต่ชีวีจะมลาย
        เฝ้าดูแต่มึงอีหน้าดอก                        จะเฝ้าสัพยอกให้ฉิบหาย
จะคอยแค้นแต่มึงอยู่มิกลาย                        จนกว่าจะวายไปข้างนึง
        อย่าพ้นกรรมเลยอีหน้าหนา                ดอกผกาสีทองจ้องทะลึ่ง
หน้าก็ด้านต่ำช้าอีห่ามึง                             กูจะฝืนคิดถึงก็เปลืองตัว
        บอกให้รู้กูมีแฟนใหม่แล้วนะ                 หรือยังจะเอากูสู้เป็นผัว
ลองมึงหันหน้ากลับมาทัวร์                           โรงเรียนเก่าก็ชัวร์ต้องเห็นกัน
        เฝ้ารอถึงวันสมน้ำหน้า                        มึงอย่าชี้หน้าด่าตัวฉัน
มึงทำได้กูก็ทำได้เช่นกัน                               อย่ามารยาสารพันให้ตายใจ
        มองตามองใจกูให้ดี                            เบ้าตากูมีน้ำตาไหล
ก็เพราะทำระยำจัญไร                                กูถึงหาแฟนใหม่ไม่รอมึง
        ไม่รู้ตัวกูเอาซะแล้ว                            กูได้แนวมึงมาว่าใจถึง
มึงฟังแล้วคงต้องตะลึง                                คงทึ่งกูเลวได้ขนาดนี้
        หลายคนแล้วแต่ตอนมึงไป                    นับแข่งกันได้ก็นับนี่
มึงนึกไม่ถึงว่ากูจะมี                                    สันดานแบบนี้ได้เหมือนกัน
        ฉันแอบนอกกายเพราะเธอนอกใจ            ฟังเพลงเข้าไปย้ำกันนั่น
เพลงว่ายังไงกูเหมือนกัน                               สะใจทั้งวันสมกับกรรม
        ใครจะว่ายังไงกูไม่สน                          ยิ่งมึงกูจนบ้าระห่ำ
กูจะทำตามใจกูจะทำ                                  กูจะเหยียบซ้ำแต่ตัวมึง
        เอาให้มึงต้องเจ็บกันบ้าง                       ตามอย่างแล้วมึงคงจะทึ่ง
อย่าเสือกสะเออะมาฉุดดึง                             อย่ามาทะลึ่งกับตัวกู
        เห็นหรือยังกรรมทำกันเอาไว้                 ทำกับใครเขาย่อมจะรู้อยู่
คนคนนั้นย่อมทำสนองรู้                               สะใจกูจริงจริงมึงคอยชม !!

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เศษเล็กเศษน้อยแห่ง 'มายาคติ' และ 'ทัศนประหลาด' ที่ถึงขั้น 'อุจาด' ในสังคมไทย

อารัมภบท 
        1.เช็กให้แน่ใจก่อนว่าเรากราบขอขมาผู้ใหญ่ทุกท่าน ทั้งที่ยังเป็น ๆ และสิ้นขีวิตไปแล้วทุกคน ก่อนที่จะเริ่ม “Drama story” เรื่องนี้
        2.ถ้าเห็นว่ามีส่วนแห่งข้อความใด หยาบคาย อ่านแล้วรับไม่ได้ ขอให้ตัดไฟเสียแต่ต้นลมด้วยการ “เลิกอ่าน” ดีกว่าที่จะดันทุรังอ่านต่อไป มิฉะนั้นตา หู คอ จมูก จะลุกเป็นไฟ ต้องเสียเงินหาหมอดูอาการ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ แม้กระทั่งหัวใจวายเฉียบพลันก็เป็นได้
        3.สิ่งที่ท่านจะอ่านต่อไปนี้ เป็นข้อความที่ออกมาจากมันสมองของผู้ที่ “ไม่มีจริต” “ไร้ยางอาย” “ไม่สนใจใคร” ขอเตือนไว้ก่อนว่าถ้ารับได้ อ่านไปเถอะไม่ว่ากัน แต่ถ้ารับไม่ได้ แนะนำให้อ่านข้อ 2.ซ้ำอีกครั้งเพื่อสวัสดิภาพความปลอดภัยของท่าน
        4.วิญญูชน เมื่ออ่านแล้วพึงเข้าใจว่า สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ คือ “มายาคติ” ตามนิยามของ “คำ ผกา” และ “ทัศนอุจาด” ตามนิยามของ “อรรถ บุนนาค” ซึ่งคงจะขอใช้ศัพท์ต่างหน่อยว่า “ทัศนประหลาด” ซึ่งมันอาจจะกลายเป็น “ทัศนอุจาด” ได้ในไม่ช้า

ข้อหนึ่ง 
        เราเห็นเด็กนักเรียนใส่แว่นตาแล้ว เราจะเข้าใจว่า “เขา” และ “เธอ” เหล่านี้เป็น “เด็กเรียน”
        ถ้าอย่างนั้นเราก็จะไปสรรหาแว่นตามาใส่ เพราะเห็นว่าแว่นมักไปวางอยู่บนใบหน้าของคนเก่ง ฉะนั้นจึงเข้าใจว่าแว่นตาทำให้คนเก่ง โดยที่...
        ไม่มองว่าเขาหรือเธอผู้นั้นเก่งมาจากการศึกษาหรือการฝึกฝน
        ไม่ต้องไปคำนึงถึงสมองที่จะต้องได้รับการฝึกฝนอะไรเลย

ข้อสอง
        เราไหว้พระ เคารพพระ ตักบาตร ถวายปัจจัยไทยธรรมให้กับพระโดยคิดว่าถวายพระรูปไหนก็เหมือนกัน ได้บุญเหมือนกัน พระก็เหมือนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรา (จำ) จะต้องเคารพนับถือ ด่าไม่ได้ วิจารณ์ไม่ได้
        มองดูก็เหมือนกับจะสอนเรื่องแนวคิดความเสมอภาค ไม่เลือกแบ่งแยก...
        จนลืมคิดไปว่า ถ้าบังเอิญพระรูปนั้นเป็นผู้ประพฤติผิด เกิดทุศีลขึ้นมา บรรดาเงินรวมถึงปัจจัยไทยธรรมที่ถวายให้ไปนั้น เราจะคิดหรือไม่ว่าบุคคลดังกล่าวจะเอาสิ่งเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์เช่นใด อย่างไร

ข้อสาม
        “บิ๊กคลีนนิ่ง” ในกรุงเทพฯ ที่น้ำแห้งแล้ว จัดกันอึกทึกครึกโครม กระโดดโลกเต้นดีใจจนออกนอกหน้า ประกาศชัยชนะต่อน้ำซึ่งถือว่าเป็นราวกับ “ศัตรู” ของบ้านเมือง จัดแข่งกับจังหวัดอื่นจนน่าหมั่นไส้ และไม่พอ ยังจัดกันข้ามหน้าข้ามตาจังหวัดที่ยังท่วมอยู่อีกต่างหาก
        เช่น อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ที่ตอนนี้ 3 เดือนแล้ว น้ำยังไม่มีทีท่าว่าจะลดเลยแม้แต่น้อย

ข้อสี่
        เวลาหมาถูกรถชน ช้างเหยียบกับระเบิด น้องหมีที่ขั้วโลกกำลังถูกคุกคามจากโลกร้อนจนน้ำแข็งละลาย ส่ำสรรพสัตว์บนโลกกำลังได้รับอันตราย เราก็จะ “เห่อ” กระแส พากันสงสาร จนแห่ส่งเงินส่งความช่วยเหลืออะไรต่อมิอะไรไปให้
        ทว่า น้ำใจไมตรีเช่นนี้ กลับไม่มีเลยสำหรับคนไทยด้วยกันเองที่ถูกกระสุนปืน หรือห่าสไนเปอร์กราดยิงสังหารกลางเมืองหลวงจนประเทศไทยขายหน้าไปทั้งโลก ซ้ำร้าย ได้ยินแต่คำพูดที่ว่า
        “ตายก็ดีแล้ว รกโลก แผ่นดินจะได้สูงขึ้น”
        “ไอ้พวกนี้ไม่มีจิตสำนึกรักสถาบัน ทำเพื่อคน ๆ เดียว” หรือ
        “ไม่น่าเกิดมาเป็นคน” (ถ้าไม่เกิดมาเป็นคน ก็ต้องเป็นสัตว์ซึ่งคนพวกนี้ถ้ายึดนิยามกันแบบซื่อตรงก็ต้องมีน้ำใจสงสารกันอยู่ดี)
        กลายเป็นคนในหลักคติ 4 (ความลำเอียง 4 ประการ) ในข้อของการลำเอียงด้วยความโกรธ ความหลง (โง่) และความกลัว (โทสคติ โมหคติ และภยาคติตามลำดับ)
        แค่นี้ก็โดนไป 3 ประการแล้วพี่น้อง !!

ข้อห้า
        เรา ๆ ผู้ที่ไม่ชอบสีใดสีหนึ่งเป็นที่ยึดถือด้วยเหตุผลว่า “จำเจ” มองนักการเมืองแล้วมักจะบ่นอย่างเหนื่อยหน่ายในเชิงตัดพ้อต่อว่า ว่า
        “นักการเมืองคนไหน พรรคไหนก็เลวเหมือนกัน”
        ทว่า เมื่อได้อ่านข่าวการเมืองอย่างบ่อย ถี่ ติดตามจนแทบจะไม่ต้องทำมาหากินกัน เรากลับเชื่อในความชั่ว ความเลวของฝ่ายหนึ่ง แต่สำหรับกับอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเราชอบ เราคลั่ง เราหลงใหล (ซึ่งถ้าคน ๆ นั้นไม่มีเมียแล้ว ก็คงจะเอามาเป็นผัวไปแล้ว) เรากลับลืม มองไม่เห็นซึ่งความผิด เหมือนกับที่เราเชื่อในภาพรวม หรือไม่ เราอาจจะศรัทธาในคนดี ที่บังเอิญมา “โปรดสัตว์” กันตอนบ้านเมืองลุกเป็นไฟ
        สุดท้าย เรายกบ้านเมืองให้คนพวกนี้ปกครอง สื่อผ่านการถ่ายรูป ดอกไม้ และชุดแต่งงานในวันนั้น
        ไม่เฉลียวคิดกันเลยว่า นี่คือ “Paradox” นี่คือ “ความย้อนแย้ง”
        สิ่งหนึ่งคือ “ความคิดภายนอกใจ” ซึ่งเป็น “การสร้างภาพ” ทว่า...
        อีกสิ่งหนึ่งนั้น คือ “ความคิดภายในใจ” ซึ่งเป็น “ความคิดที่แท้จริง”
        เราพร้อมที่จะลืมความผิดเลวของคนที่เราชอบ คนที่เราคิดว่าดี ให้อภัยกัน ซึ่งตรงกันข้ามกับอีกพวก ที่ต่อให้เอาน้ำตามาล้างเท้า ก็จะไม่ให้อะไรทั้งสิ้น ซ้ำร้ายจะแทงมีดยิงปืนใส่เสียด้วยซ้ำ
        เข้าตำรา...ผิดคนอื่นเห็นเท่าภูเขา ผิดของเราเราเห็นเท่าเส้นขน ตดคนอื่นเหม็นเบื่อเหลือจะทน ตดของตนหอมดีมีสกุล
        ควรที่วิญญูชนทั้งหลายพึงจะมองคนพวกนี้อย่างอเนจอนาถ !!



ข้อหก
        เราคิดว่า ที่การเลือกตั้งมันไม่บริสุทธิ์ โปร่งใส ยุติธรรม ก็เพราะนักการเมืองซื้อเสียงให้กับประชาชน เราจึงเห็นว่าประชาชน เห็นแก่เงินทองต่อหน้ามากกว่าความถูกต้อง มากกว่าจิตสำนึกประชาธิปไตย มากกว่าคนดี (ที่เราหยิบยื่นให้) ต้องการคนที่มีเงิน มีทอง มียศถาบรรดาศักดิ์ มากกว่าคนดีมีคุณธรรม
        สุดท้าย ลงสรุปว่าประชาชน “โง่” และ “ตะกละ”
        แต่หารู้ไม่ว่า พรรคการเมืองบางพรรค นักการเมืองบางคน เราอาจจะชอบ หรือไม่อาจจะ จะ “ชอบ” ไปเลยด้วยซ้ำ เราอาจจะไม่เชื่อ หรือไม่อาจจะ จะ “ไม่เชื่อ” ไปเลยด้วยซ้ำ ว่าพรรคการเมืองที่เราชอบนั้น “ไม่ซื้อเสียง”
        หาไม่ การซื้อเสียงในวงการการเมืองไทย มันไม่ได้มีแค่ที่เราเห็น มันไม่ได้มีแค่ที่ชาวบ้านออกมาฟ้องตามสื่อสารมวลชนต่าง ๆ
        มัน “เนียน” กว่านี้อีกเยอะ แต่เรา “ไม่เห็น”
        กลุ่มธุรกิจต่าง ๆ มีเดิมพันทางผลประโยชน์กับพรรคการเมือง ดีไม่ดี อาจจะเป็นกับพรรคที่ชอบเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่เราอาจจะเรียกเป็นคนละคำ คนละอย่างกันเพื่อให้มันดูดี ไม่น่าเกลียด เช่น “ล็อบบี้” เป็นต้น ผลประโยชน์ที่มีต่อกัน มันใหญ่ มันโตกว่าที่เราคิด โตกว่าที่จะเอามาซื้อเสียงกับชาวบ้านกันดาด ๆ
        บางทีนักการเมืองก็เอาการทำนโยบายมาหาเสียง เมื่อได้เข้ามาทำหน้าที่รัฐบาล ซึ่งบางครั้ง เน้นการหาเสียงมากกว่าการปฏิบัติให้เกิดมรรคผลจริง ชาวบ้านสามารถจับเจตนาออกได้ แต่คนบางคนกำลังเคลิบเคลิ้มกับสิ่งที่เป็นอยู่ อาจจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าที่ทำกันอยู่ มาจากเจตนาที่จะ “สร้างภาพ”
        เนียน ๆ แบบนี้ คนตาถั่วอย่างเรา ๆ คงแยกไม่ออกนะ...
        ห้า ห้า ห้า ตอง ห้า และ ห้า ยกกำลัง ห้า (หัวเราะ)

ข้อเจ็ด
        “คันหู ไม่รู้เป็นอะไร...”
        พอเพลงนี้ออกมาสู่สรรพโสตของท่านผู้ฟัง (โดยเฉพาะท่านผู้ทรงศีลธรรมในบ้านเมือง) ท่านเหล่านี้ก็จะเริ่มคันหูตามน้องจ๊ะ
        ลงเอยด้วยการคันมือ คันตีน คันปาก คันยิก ๆ ทั่วตัว เพื่อที่จะหาประเด็น “จัดหนัก” กับน้องจ๊ะ
        จนเกิดอาการ “กระเด้า” กันระหว่างคน “หัวเก่า” กับ “หัวใหม่” ในทางความคิด
        นางเอกโลกตะลึงอย่าง “เรยา” ซึ่งออกตัวแรงใน “ดอกส้มสีทอง” ก็โดน “จัดแรง” จากเจ๊ ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคเอกชน ไม่แพ้กันกับน้องจ๊ะ โดยเฉพาะศูนย์เฝ้าระวังอะไรทั้งหลายแหล่ ก็จะเล่นเสียให้หมด (ไม่รู้ว่ากลับไปบ้านแล้วจะแย่งรีโมตสามีดูกันแล้วเอาคำพูดมาเป็นไอเดียด่าออกอากาศบ้างหรือเปล่า)
        นายกรัฐมนตรีหญิง ที่บังเอิญ ไปปล่อยกิริยาน้ำตาไหลใส่กล้องของสื่อสารมวลชนเข้า ก็ถูกใคร ๆ สับไกปล่อยห่ากระสุนผรุสวาท ใส่อย่างจัง ๆ นี่ถ้าเป็นทหารหาญก็ควรจะส่งไปภาคใต้
        เพราะ “แม่น” ทุกดอก
        นักวิจารณ์ นักด่า ซึ่งวัน ๆ อาศัยการชอบด่า ชอบวิจารณ์ เป็นชีวิตจิตใจ ก็เลยอาศัยกระแสดังกล่าว เอามาปั่นกระแสให้ตัวเองดัง ให้มันรู้ไปว่า ฉันเป็นผู้รักษาศีลธรรม ประเพณีอันดีงามของไทย เธอจะมาทำอะไรผิดแผกไปจากวัฒนธรรมไทยไม่ได้นะ บลา ๆๆ
        คือ อะไร ๆ ที่คิดว่ามันไม่ดี ก็จะกวาดให้ตกขอบของสังคมไปให้หมด ไม่ชอบกะหรี่ ไม่ชอบขอทาน ก็จะกวาดให้ตกกระดาน กำจัดให้หมดไปโดยที่ไม่มองว่าเป็นเพราะอะไร จะหาทางออกที่ดีกว่าให้กับเขาอย่างไร
        “เลี้ยวขวา” ไปครึ่งตัวแล้ว
        วิญญูชนพึงสมเพชเวทนาบุคคลประเภทนี้ ประเภทที่ต้องขึ้นทะเบียน “วัตถุโบราณ” กับกระทรวงศิลปากร ต้องหาผ้าแพรสามสีความยาวพิเศษมาผูกรอบ ๆ พุงซึ่งต้องกราบถามเจ้าตัวเสียก่อนว่า “อย่างนี้กี่คนโอบ ?” ต้องหาทองคำเปลวมาปิดตามเนื้อตามตัว (โดยเฉพาะปาก ซึ่งตรงนั้นต้องยัดห่าเข้าไปเยอะ ๆ เผื่อจะได้หยุดพูดเสียบ้าง) หานางรำมาถวาย ขับเพลงไทยเดิม โอ้ละหนอดวงกูซวย เอ๊ย ! โอ้ละหนอดวงเดือนเอย กันต่อหน้า จัดหาละครประเภทผู้หญิงดี รักชาติ อยู่ในศีลธรรมที่ดี รักนวลสงวนตัว ให้ท่านเหล่านี้ได้เสวยรสหน้าศาล ประเภท โกโบริกับอังศุมาลิน เป็นต้น
        อยากถามว่า วัฒนธรรมไทยที่เรามีอยู่นี้ มันคือไทยแท้หรือเปล่า ?
        ความกตัญญู ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความซื่อสัตย์ ความอดทน และอะไรต่อมิอะไรความทั้งหลายแหล่ มันคือคุณสมบัติที่ถ้าจะให้คนทั้งโลกทำ ก็ทำได้ หรือไม่หันมองไปข้าง ๆ บ้านเรา ก็มี จนถือว่าเป็นคุณสมบัติเด่นอย่างหนึ่งของประชากรในอาเซียนก็ได้
        แล้วไฉนจะมาโมเมว่าสิ่งดังกล่าวนี้ มันเป็นคุณสมบัติพิเศษของคนไทย ที่ถ้าคนชาติอื่นมาทำแล้ว ก็ถือว่า “เป็นไทย” ไปด้วย เอาเป็นว่า “มีเฉพาะคนไทย” ด้วยเล่า ?
        อีกอย่าง ผู้หญิงก็คือ “คน” ซึ่งก็มีศักดิ์ศรีเท่ากันกับผู้ชาย ทำไมจะต้องหวงห้ามการแสดงออก การปลดปล่อยซึ่งอารมณ์ทางเพศของผู้หญิง โดยประณามว่า น้องจ๊ะทำให้สังคมเสื่อม วัฒนธรรมโทรม ผู้หญิงจะต้องอยู่เฉย ๆ ปักสะดึง ทำครัว รอผู้ชายมาโปรดเป็นผัว แล้วค่อยไปแสดงออกบนเตียง หรือไม่ก็ปล่อยให้ผู้ชายรุกฆาตอย่างเดียว ไม่ร้อง ไม่คราง ไม่กระเส่า ไม่ถือดีบังอาจขย่มเอง
        เรยากลายเป็นผู้หญิงเลว เพราะทำตัวมั่วผู้ชาย เพียงเพื่อหาเงิน คนหันมามองด้วยตาข้างเดียว ด่าเรยา อาจจะแรงกว่าเรยาก็เป็นได้ ทว่า ไม่หันไปมองตัวต้นเหตุของเรื่องนี้ คือ “เจ้าสัว” ที่มีเมียหลายคนเละเทะ ฆ่าเมียก็เคยทำโดยไม่สะทกสะท้าน ขอโทษเถอะ
        ไม่มีใครด่า “เจ้าสัว” เลย
        นายกรัฐมนตรี ถูกสวดเละ ถูกจัดหนัก จัดเต็ม จัดแรง ว่าอีตอแหล สร้างภาพเก่ง ออดอ้อน หาเสียงทุกเม็ด พอ ๆ กับทุกประเด็น ทุกปมที่สามารถขุดโคตรขึ้นมาได้ จนกระทั่งสำเนียงการพูด ภาษาอังกฤษที่ใช้ ไม่เว้นแม้แต่ภาษาไทย ที่นักวิชาการบางคน หาเรื่องพูดว่า “ใช้การไม่ได้พอ ๆ กับภาษาอังกฤษ”
        ถ้าอย่างนั้น ถ้าถือแนวคิดกันอย่างซื่อตรงแล้ว ก็สมควรจะต้องด่า “สุเทพ เทือกสุบรรณ” หรือแม้แต่ “รังสิมา รอดรัศมี” ส.ส.ปากดีปากกล้าจากสมุทรสงครามของพรรคประชาธิปัตย์ด้วย เพราะพูดทีสำเนียงออกมาเลย
        ทีอย่างนี้ละรับได้ แต่พอเป็นพวกตรงข้าม “จัดเต็ม”
        มันคือประเด็นที่ไม่น่าเล่น พอ ๆ กับประเด็นร้องไห้ เพราะเรื่องสำเนียงนั้น ใคร ๆ ก็เป็นได้ มันจะเป็นไทยแท้ไปเสียหมดก็กระไรอยู่ ลองถามเชื้อเราเองดูก่อนว่า ไทยแท้หรือเปล่า
        ถ้าไม่เป็น “ไทยแท้” ก็ควรเลิกด่าสำเนียงการพูดของคนอื่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่ประเด็นทางวัฒนธรรมอย่างดาด ๆ แต่มันเป็นเรื่องการเมืองประสมปนเปเข้าไปก่อน ซึ่งถ้าไม่มีเรื่องการเมือง ก็จะไม่มีแง่ทางวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง
        พูดง่าย ๆ คือ “เสือก” นั่นเอง
        เรื่องร้องไห้ ก็แสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะเป็นผู้หญิงคนนี้ด้วย แค่ไม่มีจริต มีอะไร เป็นอะไร แสดงออกอย่างนั้น เล่นกันตรง ๆ เปิดไพ่หมดหน้าตัก ร้องไห้จริง ไม่มีตอแหล ไม่มีมารยาประเภทสิบเอ็ดนักศึกษาวิชาทหาร
        และไม่มี “ละคร” เช่น ผู้นำในรัฐบาลก่อน ๆ ที่ดูข้างนอกดูท่าว่าจะเป็นคนดี หล่อ เก่ง ใคร ๆ ก็อยากจะเอาไปเป็นผัว (แต่ไม่รับประกันว่าจะเอาเก่งหรือไม่ ไม่ฟันธง)
        “เธอ” ไม่ได้ซ่อนความ “เลือดเย็น” แบบใครบางคน
        เหล่านี้คือความเสมอภาค “ปลอม ๆ” ในสังคมไทย
        ความคิดอัปลักษณ์ สันดานเละเทะโมโนโปรี่
        น่าเกลียด

ข้อแปด
        คำ ๆ หนึ่ง ย่อมให้ความหมายเพียงไม่กี่ความหมาย หรืออาจจะแตกย่อยไปอีกก็คงไม่เกินขีดจำกัดของมัน แต่คำบางคำ เพียงแค่พยางค์เดียว บรรดาความรู้สึก ความนึกคิด และนิยาย ที่เกี่ยวข้องกับคำ ๆ นี้ ก็จะผุดเกิดขึ้นและกว้างขวางไปไกลแบบ “ครอบจักรวาล”
        เผลอพูดคำว่า “แดง” เมื่อไหร่ ก็จะมีความคิดเป็นแสนเป็นล้านพรั่งพรูออกมาจากหัวสมองเล็ก ๆ ของเรา และดันเป็นไปในทางลบเสียทั้งสิ้น
        ล้มเจ้า หมิ่นสถาบัน ไม่รักชาติ ทำเพื่อคน ๆ เดียว โกงกิน ขายชาติ คนเป็นเสื้อแดง โง่ ขายเสียง บ้านนอก (อาจจะเรียกโดยใช้ภาษาของเดี่ยวเก้าว่า “เซาะกราว”) รับเงินมาชุมนุม วัน ๆ ไม่ทำมาหาแดกอะไร ถูกปั่นหัว ถูกล้างสมอง จำเป็นต้องมีผู้ทรงภูมิ มีศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรม มาทำประเภทที่เรียกว่า “โปรดสัตว์” ให้ชาวบ้านสามารถรู้แจ้ง เป็นพุทธะ โบยบินออกจากความโง่เขลาซึ่ง “ผี” ตัวหนึ่งปลุกปั้นไว้ให้ ลบเลือนซึ่งอุดมการณ์บ้าบอคอแตก ประชาธิปไตยประเภทอะไร ถามหาจุดยืนเกี่ยวกับระบอบการปกครองจากปากของชาวบ้าน สมน้ำหน้า เหยียบซ้ำ “อากง” “ดา ตอร์ปิโด” ที่อยู่ในคุก หรือไม่ก็กระทืบคนนอกคุกเล่น อย่าง “สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล” “นิธิ เอียวศรีวงศ์” “จักรภพ เพ็ญแข” “จรัล ดิษฐาอภิชัย” “ธิดา ถาวรเศรษฐ” “วรเจตน์ ภาคีรัตน์” ความคิดของคนเหล่านี้ ถูกบดขยี้จนเลยเถิดไปสู่เรื่องส่วนตัว และกระทั่งปั้น “ละครน้ำเน่า” ขึ้นมาอธิบายความเลวระยำของคนพวกนี้ว่า จะเอาระบอบใหม่มาสิงสถิตในประเทศไทย
        ยังไม่ได้พูดถึง “เนื้อหา” เสียด้วยซ้ำ
        “วรเจตน์ ภาคีรัตน์” ถึงกับกล่าวด้วยความรำคาญกลางเวทีนิติราษฎร์ในกรณีของอดีตนายกฯ โดยสรุปว่า “ถ้าท้าตีท้าต่อยกันเหมือนเด็ก ๆ แบบนี้ บอกว่าให้ผมต้องลาออกจากนักวิชาการ งั้นท่านก็ต้องลาออกจากนักการเมืองสิ แล้วกลับไปเรียนหนังสือ แล้วเรียนให้เข้าใจ ให้รู้เรื่อง พอท่านเรียนรู้เรื่องแล้วค่อยมาเถียงกับผม ท่านไม่รู้แล้วมาเถียงกับผมได้ยังไง ไม่เข้าใจ”
        “วรเจตน์ ภาคีรัตน์” ไม่ได้เลวถึงขนาดล้มบ้านล้มเมือง เปลี่ยนระบอบ ก็แค่ “ไม่มีจริต” พอ ๆ กับนายกฯ หญิง
        ว่าแต่พวกที่ไม่มีข้อมูล ไม่ดูเนื้อหา ไม่เห็นที่มา ก็สามารถด่าฝ่ายตรงข้ามได้โดยที่มีคนยอมรับและเชื่อตาม
        อันนี้คือการ “ขายตัว” ทางความคิดหรือเปล่า ?!
        “ผี” ตนนี้ กำลังจะถูกไล่ให้ไปเคียงคู่กับ “ผี” อีกตนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้เป็นผีจริง ๆ ชื่อของผีตนนี้อยู่แถว ๆ ใต้ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ซึ่งถูกใส่ร้ายในโรงหนังเฉลิมกรุงในประเด็นคอขาดบาดตาย จนต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศจนสิ้นอายุขัย
        “ผี” ตนนี้ กำลังจะกลายเป็น “ผี” ตนที่สอง !!
        และถ้าบ้านเมืองยังเป็นอย่างนี้อยู่ ก็ “แนวโน้มสูง”
        ที่ “ผี” ตนนี้จะได้เป็น “ผีจริง ๆ”

ข้อต่อไป
        ...................................

ข้อสุดท้าย
        คนที่ (บังเอิญ) คิดต่าง และมา (บังเอิญ) คิดต่างในสังคมไทย (เสียด้วย) แม้จะเป็นเรื่องเดียวหรือเรื่องเล็ก ๆ ก็ตาม ก็อาจจะถูกเข้าใจได้โดยปริยายว่าเป็นคน “เลว” ครอบจักรวาล เป็นต้นว่า “ล้มเจ้า”
        และ อื่น ๆ เป็นต้น

17 ธันวาคม 2554

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

“ทำไมเลี้ยงลูกไม่ได้ดี ?” คำถามโลกแตกที่คนถามควร “ตอบ” เอง + “แหง่แดกมือแดกตีน” นิสัยต้องห้าม !!

       ปัญหาวัยรุ่นไทยในขณะนี้นับว่าแย่ลงกว่าในช่วงก่อน ๆ มาก โดยมีปัจจัยหลายประการด้วยกันที่จะประกอบเติมแต่งให้วัยรุ่นประพฤติปฏิบัติ ตนให้เป็นไปตามแบบของตนเอง ผู้ปกครองต่าง ๆ คงจะคิดจนปวดขมองและแก้ไม่เคยตก ซ้ำยังคิดในทำนองตัดพ้อต่อว่าว่าเราเองต้องเป็นฝ่ายรับกับปัญหาบุตรหลานของ ตัวเอง
        นี่ถ้าเป็นเล่นฟุตบอลป่านนี้รับจนโกทะลุไปหลายสนามแล้ว
        ส่วนสังคมก็กระไรเลย พอมีเรื่องเกิดขึ้นมาที ก็เต้นเหย็ง ๆ กันที พอเป็นพิธี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนม ท้อง แท้ง เรยา ละครน้ำเน่า ตู้เกม การพนัน ตีกัน ตบกัน เด็กเกย์ เลสเบี้ยน กระทรวงที่เกี่ยวข้องก็ได้แต่เจ้าเข้า ได้แต่เต้นกันเร่า ๆ จนศาลาว่าการแทบจะพังคาตีน ปลุกกันได้ไม่กี่วันกระแสก็ซา สุดท้ายก็ได้แต่บ่นด้วยอาการเซ็งเป็ดว่า
        “ไอ้เด็กพวกนี้พ่อแม่ไม่สั่งสอน”
        ดราม่ากันทั้งบ้านทั้งเมืองปานแผ่นเสียงตกร่อง นึกไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็น “ไฟไหม้ฟาง” ครั้นจะลองเข้าใจเด็กดูโดยการดัดจริต กระแดะ ทำหน้าเด็ก ทำนิสัยเด็ก กินเด็กสักคนสองคนเพื่อทำวิจัยกับข้อมูล ขอโทษ...
        วัย “ไม่ให้”

        ผมว่าที่ปัญหาวัยรุ่นมันไม่เคยแก้ไขได้สักที มันก็เพราะเวลาที่เราเกิดเรื่องกันที ก็จะแห่ไปมองแต่แง่มุมหนึ่ง โดยที่เราลืมไปว่า มันยังมีอีกหลายแง่มุมที่ทำให้มันเกิด มันเป็น มันมี อย่างเรื่องยาเสพติด ไอ้พวกผู้ค้ารายใหญ่ จับติดคุก จับประหาร ก็แล้วแต่ แต่รายย่อยที่เป็นเด็ก เป็นเยาวชน เราจะเยียวยาเขายังไง ต้องดูปูมหลังด้วยว่าทำไมต้องเลือกทางนี้ ขัดสนอะไรหรือไม่ เขาหาเงินแบบนี้เพื่อส่งตัวเองเรียนหรือเปล่า แล้วคอยช่วยเหลือเขาโดยให้เขาคิดเองว่าเขาจะทำอะไรเพื่อให้ได้เงินโดยสุจริต ไม่ต้องมาทำอะไรสุ่มเสี่ยงแบบนี้ ไม่ใช่เอะอะก็จะส่งสถานพินิจอย่างเดียว
        ไม่งั้นศาลเด็กและเยาวชนจะตั้งขึ้นมาทำไม ?
        ไม่งั้นจะมีบทลดโทษให้กับผู้เยาว์ซึ่งกระทำผิดในประมวลกฎหมายอาญา ตั้งแต่มาตรา 73-76 ไว้ทำไม ?
        ปัญหาที่สำคัญที่สุด ที่เราต้องยอมรับ ก็คือ “ผู้ใหญ่”
        ปัญหาวัยรุ่นต่าง ๆ ต้องยอมรับ (ย้ำว่า ต้องยอมรับ) นั่นคือ ไม่ใช่เฉพาะตัวเด็กเองที่ทำให้เกิดปัญหา จนเราต้องบ่นว่า “นรกส่งมันมาเกิด” เป็นนกแก้วนกขุนทอง แต่ผู้ใหญ่นั้นแหละ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เด็กเป็นไปในทางต่าง ๆ โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมและครอบครัว
        เอาเป็นว่าผู้ใหญ่ “ตัวดี” เลยแหละ !!
        ในสังคมโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนตั้งแต่ขนาดกลางขึ้นไป เป็นไปไม่ได้ที่เราจะต้องไม่พบกับคนจำนวนเยอะแยะ เพื่อน พี่ น้อง มีกิจกรรมมากมายที่ต้องผูกพันกับโรงเรียนทั้งโดยตรงและโดยอ้อม
        ก็จะมีคุณพ่อคุณแม่บางจำพวก ที่เป็นห่วง เอาใจใส่ลูก เอาซะจนเกิดอาการ “หึง” ไม่แพ้กับผู้ชายหึงแฟนตัวเอง อิดออด ไม่ยอมให้ลูกหลานโดยเฉพาะที่เป็นผู้หญิงไปนอกวันเวลาเรียน บางทีต้องไปด้อม ๆ มอง ๆ แถว ๆ ที่ทำกิจกรรม เช่น ค่ายลูกเสือ โรงเรียน หรือตามสถานที่ต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งชี้นำแนะอาชีพให้ ยัดเยียดว่าต้องเรียนหมอ ครู วิศวะ ส่งไปติวกันจนหัวแทบระเบิดตูม กลายเป็นฝรั่งที่โดนเร่งปุ๋ยให้ทันขาย
        “สวย” “กรอบ” ขอโทษ...
        “ไม่หวาน” ครับ !!
        ผมขอยกย่องนับถือคุณพ่อคุณแม่ประเภทนี้ด้วยว่าเป็นผู้รักษาความคิดความเชื่อ ค่านิยมแบบโบราณเก่าแก่ให้ดำรงคงอยู่จนถึงทุกวันนี้...
        ดีไม่ดีอาจจะเอาทองคำเปลวแปะหน้าให้ดูสมกับเป็น “วัตถุโบราณ” เสียด้วยซ้ำไป !!
        น่าจับคนพวกนี้ขึ้นทะเบียน “โบราณวัตถุ” กับกรมศิลปากร !!

        การเลี้ยงลูกแบบห่วงหวงกันมากเกินไปมันมีแต่ผลเสียครับ ผมบอกไว้เลยว่ายังมีพ่อแม่ที่มีทัศนะคับแคบอย่างนี้อยู่ในสังคมไทยเป็นจำนวน มาก ไม่ค่อยจะให้ลูกออกไปไหน รถไม่ค่อยให้ขับขี่ กลัวลูกจะไปซิ่งไปแว้นจนตัวเองต้องเดือดร้อน
        ลูกที่อยู่ในครอบครัวแบบนี้นับว่าเป็นคนที่น่าสงสารมาก เพราะภายใต้การเลี้ยงดูแบบดังกล่าว เขาจะขาดความมั่นใจในตัวเอง พึ่งได้แต่พ่อแม่ วาสนาตามมีตามเกิด บางทีเกิดมาบนกองเงินกองทอง คาบช้อนเงินช้อนทอง “แดก” ข้าว จะเอาอะไรก็มีมาให้ ถูกปลูกฝังให้เป็นคนดี เป็นกุลสตรี รักนวลสงวนตัว อยู่ในคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ยี่สิบสามสิบโหล ประคบประหงมเป็นอย่างดีจนไม่กล้าสู้เผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ จนทำให้ปัญญาทึบ ปัญญาเยาว์ไปครึ่งตัวแล้วละ
        สุดท้าย เด็กเหล่านี้เป็นโรคที่ต้องใช้ศัพท์ภาษาปากว่า “แหง่กินมือกินตีน” หรือง่าย ๆ คือ “เกาะพ่อเกาะแม่แดก” แบบที่จะพบในคุณสมบัติของตัวโกงหรือนางร้ายในละครน้ำเน่าแทบทุกเรื่อง
        เพราะไม่ต้องทำมาหากินอะไร เพียงแค่ใช้มารยาฉอเลาะกระเซาะกระแซะก็หาเงินได้มากมายก่ายกอง
        สิ่งเหล่านี้มันคือการ “ทำลายเด็ก” กันทางอ้อมครับ !!
        โดยเฉพาะลูกสาว ถ้ามาเจอกับพ่อแม่สติวิปลาสจำพวกนี้เข้า โตสักหน่อยไม่พ้นโดนข่มขืนแน่ ๆ ครับ เพราะสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ไม่เอื้อให้เด็กเขากล้าดำเนินชีวิตด้วยตัวเอง กล้าตัดสินใจ แก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง มีทักษะ ไหวพริบในการต่อรองเจรจา คลุกคลีกับสภาพจริงในสังคม
        ผมอยากจะตอกหน้าพวกที่เชื่อกันอยู่ชั่วนาตาปีว่า ที่ทำให้ผู้ชายข่มขืนผู้หญิงนั้นก็เพราะผู้หญิงแต่งตัวโป๊ยั่วยวน ผมขอบอกไว้เลยตรง ๆ ว่า มันไม่เกี่ยวหรอกครับว่าผู้หญิงเขาจะเป็นยังไง จะดีจะเหี้ยยังไง แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ชายลงมือข่มขืนก็คือ
        เขา “หักห้าม” ใจตัวเองไม่ให้ทำไม่ได้ !!
        เพราะฉะนั้นผู้หญิงจะดีจะเหี้ยมันก็ค่า “เท่ากัน” นั่นแหละ

        แต่เท่าที่ดู ๆ มา เราจะพบว่าเหยื่อที่ถูกข่มขืนนั้น จะเป็นเด็กดี เด็กเรียนกันเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนน้อยเท่านั้นคือพวก “แรด-ร่าน -กะหรี่-ดอกทอง” ที่บังเอิญไปแรดใส่ฝูงแร้งแล้วโดนมอมเหล้าแล้วรุมทึ้งกลับมา เพราะผู้หญิงจำพวกหลังนี้ เขาได้สะสมทักษะในการดำเนินชีวิต รู้จักต่อรอง เอาตัวรอด จนรู้ทางหนีทีไล่ในชีวิตได้ ไม่ใช่ว่า “ทำดี” แล้วจะสามารถป้องกันภัยได้ทุกอย่าง
        มัวประพฤติปฏิบัติเป็น “วนิดา” กันจนได้เรื่องได้ราว !!
        คนเป็นแฟนกันแล้วโดน “หลอกฟัน” นั่นแหละ ส่วนใหญ่เป็นเด็ก “ไม่แรด” ครับ พอไม่แรดก็จะหลงเชื่ออะไรง่าย ผู้ชายทำอะไร พูดอะไร เชื่อง่ายไปหมด ให้เปรียบแรง ๆ ว่า แม้ขนาดให้คาบกระดูกหมาแดกก็ยอม พอเชื่อใจ ไว้ใจจนตายใจเรียบร้อย ก็จะเข้าลักษณะ “หลอกเอา” ยอมให้เขาจูงไปบ้านเขา ไปโรงแรม ใช้อุบายไปเอาของ สุดท้าย
        “ไม่รอดสักราย”
        นี่แหละคือ “กรง” และ “มีด” ที่แฝงไว้ในรูปของ “ความหวังดี” ของพ่อแม่ จนทำให้เยาวชนหลายคนต้องเสียผู้เสียคนไป
        จบประเด็นทางการแพทย์ “แหง่กินมือกินตีน”

        การขาดความเข้าใจในการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ คิดว่าลูกคนไหน ๆ ก็เหมือน ๆ กัน เป็นความเข้าใจที่ผิด ขนาดว่ามีบทเลี้ยงลูกสำเร็จรูปที่ออกมาจากกระทรวงวัฒนธรรมที่ให้ปลูกฝังความ เป็นไทย เรียนดนตรีไทย เล่นการละเล่นไทย ใส่เสื้อ ชุดไทย (บังเอิญว่าระบุตรง ๆ ว่าเสื้อลายดอก ซึ่งไม่รู้ว่ามันเป็นไทยตรงไหน อย่างนี้ท้องตลาดทั่วไปก็ซื้อใส่ได้ตอนเล่นน้ำสงกรานต์)
        ผมบอกไว้เลยว่าประเทศไทยมันไม่มีอะไรที่เป็นไทยแท้หรอกครับ มันคือ “ไทย” ที่มาจากการประสมประสานทางวัฒนธรรมหลายวัฒนธรรมด้วยกัน แค่คติทางศาสนาจาก “อินเดีย” ก็จัดไป “เกือบครึ่ง” แล้ว แล้วไหนจะจีน ญี่ปุ่น ฝรั่ง แขก ชวาเอาอีกล่ะ
        แล้วถ้าจะยึดเอาความเป็นไทยแท้อย่างที่คุณเข้าใจกัน งั้นคุณก็ต้องยอมรับว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของเขมร เพราะรูปลักษณะมันไม่ใช่ลักษณะของไทย คุณก็ต้องหันหลังให้กับพันธมิตร สลิ่มที่เฝ้ารอคอยให้ปราสาทเขาพระวิหารหล่นใส่แผ่นดินแถว ๆ ศรีสะเกษ จะได้เป็นของไทยสักที
        เพียงแค่นี้ก็จะหาความ Paradox ได้มากมายเกี่ยวกับ “ความเป็นไทย”
        แล้วถ้าเราจะยึดว่าสิ่งเหล่านี้ (แค่นี้) เป็น “ความ เป็นไทย” ก็จะเป็นการผลักไสให้วัฒนธรรมอื่นที่ไม่ใช่วัฒนธรรมไทย (ทางราชการ-ภาคกลาง) กลายเป็น “วัฒนธรรมชายขอบ” กลายเป็น “ความเป็นอื่น” ตามบัญญัติศัพท์ของ “คำ ผกา”
        เผลอ ๆ “เหน่อสุพรรณ” จะโดนผลักให้เป็น “ชายขอบ” ไปอีกรายก็ได้ เพราะแค่ภาษาจังหวัดใกล้ ๆ กันกับกรุงเทพฯ ยังหาวรรณยุกต์ไทยใส่ไม่ครบเลยด้วยซ้ำ
        ผมลองคิดดูสักทีนะครับ สมมุติว่าจับพลัดจับผลู อยุธยาเสียกรุงแล้วเกิดไปตั้งราชธานีใหม่ที่สุพรรณบุรีจนถึงปัจจุบัน ภาษาราชการก็จะกลายเป็น “ภาษาไทยสุพรรณ”
        แล้วภาษาไทยกรุงเทพฯ ซึ่งเราพูด ๆ กันอยู่ทุกวันนี้ ก็จะกลายเป็น “เหน่อ” ไปก็ได้

        กลับมาสู่การเลี้ยงลูก ที่ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะผมได้รับประสบการณ์โดยตรงและโดยอ้อม ผมไปพบกับเด็ก ๆ มัธยมหลายคนพร้อมกับผู้ปกครอง มีหลายรายที่เจอเตือน สั่งสอน ด่า จนถึงขั้นทะเลาะกัน ลากตัวขึ้นรถกลับบ้านต่อหน้าเพื่อน ๆ ก็มี ก็เพราะเรื่องปกติของวัยรุ่น เช่น ไปพบเพื่อน ทำงานบ้านเพื่อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเป็นปกติของสังคมที่เราจะต้องพบเจอกัน เป็นการเปิดทัศนคติของเราให้กว้างขึ้น
        ผมแอบร้องไห้แทนเด็ก ๆ เหล่านี้ที่พ่อแม่ไม่เปิดโอกาสให้เด็กเขาได้เรียนรู้ชีวิตด้วยตนเอง เพราะสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นพื้นฐานที่อนาคตจะต้องมีต้องเป็น ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่มีมันก็คือการ “ฆ่าเด็ก” ทางอ้อม เพราะเมื่อโตไปเด็กเหล่านี้จะอยู่ในสังคมเสือ สิงห์ กระทิง แรด อย่างลำบาก หรือสุดท้ายก็จะเสียผู้เสียคน โดนหลอกเอา เป็นขี้ยา ทำชั่วเลวนานา อยู่ร่ำไป
        บางทีความเป็นห่วงมากเกินไป มันก็ทำให้เด็กเสียผู้เสียคนได้อีกทางหนึ่งนะครับ
        เห็นพ่อแม่บางคนกรี๊ดกร๊าดพอ ๆ กับเจอตะกวดหรือตัวเหี้ยเข้าบ้านตัวเอง เมื่อไปเห็นลูกตัวเองเข้าพวกกับเพื่อนที่ตัวเองคิดว่า เหี้ย เลว ทำตัวไม่ค่อยดี ไม่ค่อยตั้งใจเรียน ชักคันมือคันตีน คันปาก อยากด่า ๆๆๆๆ ใส่แล้วลากออกมา ด้วยความหึงหวง เทศนาอีกสักชุดจนสะใจ
        ผมว่าแทนที่เด็กเขาจะทำตามสิ่งที่คุณต้องการ เด็กเขาอาจจะไปเป็นตรงข้ามเลยก็ได้
        แต่ถ้าอยากจะให้ลูกเป็นไปในสิ่งที่ต้องการ ผมขอแนะนำให้ส่งลูกคุณไปเกิดเป็นเทวดาครับ อันนั้นน่ะแน่นอนกว่า
        การเลี้ยงลูกให้มีประสิทธิภาพนั้น ไม่ใช่ว่าจะเอาใจกันเกินไป หรือเอาแต่ด่า ๆๆๆๆ กันจนเด็กเกิดอาการ “เก็บกด” มันต้องรู้จักการพอประมาณครับ ต้องเข้าใจอุปนิสัย ธรรมชาติของเด็ก ว่าเขาเป็นอย่างไร แล้วต้องหันมาดูว่าอุปนิสัยของตัวเองเป็นอย่างไร แล้วเราจะปรับให้เข้ากับนิสัยลูกเราอย่างไร ต้องเข้าใจทั้งตัวเราและตัวเขา นี่แหละการเลี้ยงลูกที่ดี ไม่ใช่ประเคนกันจนมี “พระสังกัจจายน์หายใจได้” หรือปล่อยไปตายแหล่มิตายแหล่ หรือวัน ๆ เอาแต่ด่ากันลั่นบ้าน
        ในเรื่องการเลี้ยงลูกนั้น อย่างน้อยก็ต้องใช้หลักธรรมเกี่ยวกับมัชฌิมาปฏิปทายึดไว้ คือ มีความพอดี ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป คือ ไม่สร้างนิสัย “แหง่แดก” กันจนเกินไป หรือไม่สร้างนิสัย “เก็บกด” เพราะอาการด่าแหลกกันจนเกินไป บวกกับความเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นปัจจัยในการเลี้ยงดู ซึ่งถ้าทำเช่นนี้ได้ เราจะประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูก และลูกในอนาคตนั้น จะเป็นพลเมืองของประเทศชาติที่สมบูรณ์แบบ เป็นกำลังในการบำรุงชาติและสังคม ทำให้สังคมก้าวหน้า
        ทุกวันนี้เห็นแต่พ่อแม่ไปเที่ยวร้องแรกแหกกระเชอถามคนอื่นเขาว่าทำไมเลี้ยง ลูกถึงไม่ได้ดี จะเลี้ยงลูกยังไงให้มันได้เรื่องได้ราวเหมือนลูกคนอื่นเขาสักที
        คำถามนี้ ถ้าจะให้ดี เปลี่ยนจากผู้ที่ถามคำถามนี้
        มา “ตอบ” คำถามนี้เองดีกว่าครับ
        เพราะลูกตัวเองแท้ ๆ ถ้าไม่รู้ซึ่งสันดาน กำพืด ว่าเป็นยังไง ก็ไม่รู้ว่าจะไปเร่ถามกับแม่หมอหรือขอทานคนไหนแล้วละครับ !!
        ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ผมไม่บังอาจเขียนกระทบใครหรอกครับ เพียงแต่ว่าใครที่เลี้ยงลูกกันจนผมต้องเอามาอ้างอิงในบทความนี้ ถ้าเดือดเนื้อร้อนใจเพราะผมไปกระตุ้นต่อมความอดทนแตกขึ้นมา ก็กระทบคนนั้นแหละครับ
        สุดท้ายนี้ ผมไม่ได้บังอาจจะสอนใคร เพราะผู้ใหญ่แต่ละคน ผ่านโลกมาเยอะ ผ่านสังคมมาเยอะ แบบว่า...
        จำพวก “ไม้แก่ดัดยาก”
        ผมไม่บังอาจจะสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ และสอนสังฆราชให้อ่านหนังสือหรอกครับ
        เพียงแต่ผมจะขอสอนจระเข้ให้อ่านหนังสือ และสอนสังฆราชให้ว่ายน้ำบ้าง...
        ก็แล้วกัน...!!

14 ธันวาคม 2554

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หนอยแน่ะ ! (กลอนสุภาพ)

        ฟังเขาว่าขนลุกทุกขนชัน           แทบจะเอาตีนยันทีวีตก
หมั่นไส้คนมาว่ายอยก                       สกปรกแนวคิดประดิษฐ์ทำ
        มัลลิกาเจ้าเก่าเขาไม่เลิก             สร้างแต่ชื่ออึงเอิกรุกถลำ
ไปไหนเขาด่าว่าแต่คำ                        จิตใจระยำเผด็จการ
        เป็นข่าวครึกโครมอึงคะนึง           กล่าวถึงเว็บไซต์สองส่งสาร
Youtube-Facebook มีช้านาน            เกรงว่าจะต้านค้านสถาบัน
        ฟูมฟายว่ามีที่หมิ่นเหม่               ขี้เหร่ขี้เรื้อนวิจารณ์นั่น
หมิ่นเดชานุภาพสถานครัน                   จะตัดหั่นต้นตอให้เหี้ยนลง
        ปิดเว็บเหล่านี้ให้หมดสิ้น             หมดราคินเสี้ยนหนามความสูงส่ง
ยกย่องจงคงบวรพรดำรง                     ยืนยงคงมั่นกลืนกาลไป
        แนวคิดชัดเจนมิเว้นวรรค            ซ่อนดาบเตรียมชักประทานให้
คนที่เราคิดว่ามันจัญไร                       วิ่งไล่ตามด่ามาเป็นปี
        112 จองเวรไม่เคยหยุด               เหวี่ยงแหเร่งรุดกันเต็มที่
ลิดรอนสิทธิและเสรี                           ตามมีกันมาประสาชน
        ไม่มีเจตนายังว่าผิด                    สำแดงซึ่งฤทธิ์กันหลายหน
กวาดคนเข้าคุกหลายพันคน                  แล้วมิพ้นเยาะเย้ยเอิงเอยไป
        หาธรรมไม่เจอในข้อกฎ              สุดสลดคนใช้ไม่เคยให้
จับผิดติดแพะกันบรรลัย                     ไม่เคยมีวิสัยจะสำนึก
        นอร์เวย์บ้านเขามีกษัตริย์             กฎหมายหมิ่นชัดเขาตรองตรึก
คนฟ้องคือกษัตริย์ท่านระลึก                ถ้ารู้นึกเดือดร้อนแก่พระองค์
        ไม่ใช่นึกจะฟ้องก็ฟ้องแหลก         มั่วแถกอย่างเราเอาหยิบหย่ง
เกลียดเขาเราฟ้องจ้องจำนง                 มึงจงรับโทษโดยติดคุก
        ไม่ผิดยัดโทษให้เป็นผิด               ไม่พินิจเอามันกันสนุก
ไม่กลัวกฎแห่งกรรมแม้กี่ยุค                  ไปทำทุกข์ให้เขาเฝ้าคิดแค้น
        ใครจะฟ้องก็ฟ้องใคร่จะฟ้อง         ถึงไม่ต้องเดือดร้อนจนเหลือแสน
คนเกลียดกันเอาท่านมาอ้างแทน            ขยายแค้นเป็นเพลิงขมวดปม
        มัลลิกาลืมไปอะไรเปล่า               นี่จะเอาใหญ่หลวงให้สาสม
กระเทือนใครบ้านไหมใคร่ดูชม               หรือนิยมปิดตายประเทศไทย
        เรื่องเล็กเรื่องน้อยคอยปลุกปั่น         เอากันไม่หวาดไม่ไหว
ลือมาก็บ้าเชื่อไป                                เมืองไทยวุ่นวายก็คราวนี้
        กลัวปวงชนคนไทยจะใคร่โง่            คุยโตคุยโม้กันหรือนี่
เหมือนว่าเธอหวังให้คิดดี                      หนอยแน่ะ ! นังนี่ประสงค์ร้าย
        แล้วสลิ่มใช้อะไรสื่อสาร                 คุยการคุยงานไม่แหนงหน่าย
นัดคนรวมพลง่ายดาย                           เว้นวายสักวันคงจะลงแดง
        เอาใจเขาใส่เราบ้างเถิดหนอ            อย่ามัวเพ้อและพ้อประชันแข่ง
หนังดราม่าสถาบันคนเขาแคลง                บทเรียนแพงไม่จำกันเสียที
        อย่าเอาเรื่องเท็จฆ่าคนอื่น               ระวังจะตื่นมาเป็นผี
โทษฐานยุแหย่แต่ไพรี                            แม้นารีก็ไม่ลดซึ่งโทษทัณฑ์
        สวยแต่ปากดากดำระยำยับ             คิดคับแค้นใจมิเปลี่ยนผัน
จองเวรประเคนทุกวารวัน                       สถาบันก็มิเว้นมิวายวาง
        นี่แหละหมิ่นของแท้ดูตัวเอง            จงหวั่นเกรงโทษทัณฑ์กันเสียบ้าง
คิดชั่วชั่วหาผัวดีกว่านาง                       อย่าเอาอย่างเผด็จการดีกว่าเอย

11 ธันวาคม 2554