วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

'รูปโป๊' โอละพ่อ เรื่องไม่เป็นเรื่อง + เริ่มวิกลจริต !!

        ก็เป็นที่ฮือฮากันอย่างไม่ทันข้ามคืนเมื่อปรากฏรูปโป๊ในระหว่างที่สมาชิก รัฐสภากำลังอภิปรายถกเถียงกันในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญกันอย่างเอาเป็นเอา ตายเมื่อวันพุธที่ผ่านมา นางแบบหญิงกำลังโพสท่ายั่วยวนแหกขาจนเห็นกางเกงใน (แล้วก็ชวนคิดว่าแค่กางเกงในแม่งจะเซ็นเซอร์หาพ่อง ไม่ได้เห็นหอย สร้อยเหม็นอะไรซักหน่อย ทำกระแดะไปได้) แต่ภาพดังกล่าวก็ถูกเซ็นเซอร์เมื่อนำมาปรากฏต่อสื่อมวลชนต่าง ๆ และอีกทั้งยังมีอีกเหตุการณ์หนึ่ง คือ สื่อมวลชนได้ถ่ายภาพหันกึ่งข้างกึ่งหลังของ ส.ส.คนหนึ่งซึ่งกำลังยกไอโฟนขึ้นมาดู ก็เจอรูปโป๊อยู่ในไอโฟนพอดิบพอดี และได้แพร่สะพัดไปสู่โซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว
        กลายเป็นเรื่องร้อน ๆ ที่มีคนสนใจกลบเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มิดไม่เห็นหัวกันเลยทีเดียว
        มีการตั้งข้อสงสัยเรื่องเจ้าหน้าที่ที่แอบดูรูป หรือระบบไวไฟในที่ประชุมรัฐสภา หรืออาจจะเกิดมาจากการแฮก และอีกมากมายต่อหลายอย่างที่สามารถเชื่อมถึงทำให้จอมอนิเตอร์ได้แสดงภาพดัง กล่าวขึ้นมาได้ จนกระทั่ง น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวในเชิงว่าจะต้องค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ได้
        เกือบจะชื่นชมไปแล้ว !!

        ไวปานโกหก
        อีก 1 วันต่อมา นายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ก็ออกมาแสดงความรับผิดชอบว่าตนคือบุคคลที่ปรากฏในรูปที่กำลังดูไอโฟนจริง แต่เป็นคนละรูปกับที่ปรากฏบนจอมอนิเตอร์ และเปิดขึ้นมาเพื่อจะลบทิ้ง ก็เท่านั้น
        “รังสิมา” เงียบกริบ !!
        แถมออกมาปกป้องบอกว่าความจริงนายณัฏฐ์ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่มีเจตนาจะดู
        ก็ประจวบเหมาะกับทางรัฐสภาได้ตรวจสอบรูปบนมอนิเตอร์แล้วคาดว่าน่าจะเป็นเจ้า หน้าที่ และประกาศว่าจะจัดการอย่างเด็ดขาด ซึ่งก็รอดูกันต่อไปว่าเรื่องราวนี้จะเป็นเช่นไร

        เรื่องนี้ผมเห็นหลายฝ่ายที่พยายามจะโยงเข้าไปสู่การเมือง ทั้งที่เรื่องนี้มันไม่ได้มีสาระอะไรเลย แบบคนที่คิดอะไรไม่ออก สมองตีบตัน นึกเป็นการเมืองไปเสียหมด ความจริงต้องจับส่งเข้าศรีธัญญาเลยเสียด้วยซ้ำ เพราะ...
        “บ้าการเมือง” จนลืมทำอย่างอื่นที่จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเองมากกว่า
        ที่หนักกว่านั้น คือมีคนวิกลจริตบางจำพวก โยนไปหา “คนไกล” อย่าง “ทักษิณ” เช่นเคย เป็นเรื่องที่กี่ร้อยกี่พันก็จำไม่ค่อยจะได้
        หาว่าทักษิณสั่งเจ้าหน้าที่รัฐสภาหรือมือดีป่วนการประชุม (ก็บังเอิญที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์กำลังอภิปรายพอดี) ด้วยการส่งรูปโป๊หวังให้ ส.ส.ตบะแตกไม่เป็นอันอภิปราย ทั้งรัฐบาล ฝ่ายค้าน และ ส.ว.
        มึง “ช่างคิด” มาก !!
        แม่งไม่มีใครที่จะคิดเหี้ย ๆ ได้เท่าพวกมึงแล้ว !!
        เรื่องที่ทักษิณไปเจรจากับกลุ่มพูโลเพื่อช่วยหาทางออกให้กับปัญหาชายแดนภาค ใต้ก็อีกเรื่องนึงละ พวกที่จะเล่นประเด็นเรื่องภาพตัดต่อไม่ตัดต่อก็ว่าไป แต่ที่หาว่าทักษิณเป็นต้นตอที่ทำให้เกิดสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ว่าไปแต่จะว่าในเชิงนโยบายก็ยังพอคุยกันได้ งัดข้อมูลมาสู้กันได้ แต่ก็บังเอิญมีพวกวิกลจริต (เผลอ ๆ จะเป็นพวกเดียวกันกับเรื่องรูปโป๊) เล่นกันถึงขนาดว่า
        “ทักษิณ” สั่งการ “บึ้มหาดใหญ่”
        ให้ข่าวแบบสั่ว ๆ จนอะไรที่เลว ๆ ไม่ว่าสากกะเบือยันเรือรบก็โยนไปให้ทักษิณหมด ต่อให้จะไม่เกี่ยวกับการเมืองก็ตาม ราวกับว่าคุณสมบัติของพวกไม่มีศีลธรรม (ซึ่งต้องขุดเอาหลักธรรมของทุกศาสนาบนโลกมารวมกัน) ไปอยู่กับทักษิณหมด
        เอากับเขาซีสลิ่มเอ๋ย

        ผมอาจจะด่าพรรคประชาธิปัตย์ไว้เยอะในเรื่องต่าง ๆ ที่ทำกันผิดมนุษย์มนาจนคนไทยสะอิดสะเอียนกันเป็นแถว แต่เรื่องนี้ผมคงต้องยกไว้สักเรื่องครับ เพราะบรรดาข้อความหรืออะไรทั้งหลายแหล่สำหรับผู้ที่มีมือถือแบบปัจจุบัน ไม่ว่าจะไอโฟน บีบี หรือแอนดรอยด์ก็ตามแต่ มันย่อมเข้ามาสู่มือถือได้ตลอดเวลา มันไม่รู้หรอกว่าเวลานี้เป็นอย่างไร มันไม่รู้หรอกว่าตอนนี้กำลังประชุมสภา จึงห้ามตัวเองมิให้ส่ง ก็เป็นไปไม่ได้
        เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับนายณัฏฐ์ เพราะมันไม่ใช่ความผิดอะไรเลยที่จะเช็กมือถือของตัวเองเพื่อให้เห็นว่าใครจะ ส่งอะไรเข้ามา เผื่อเกิดเป็นข้อความร้องทุกข์จากชาวบ้านในเขตของตัวเองขึ้นมา หรืออย่างน้อยความรู้สึกของชาวบ้านที่กำลังดูการถ่ายทอดการประชุมอยู่ ถ้าไม่ดูเสียเลยก็อาจจะถูกค่อนแคะว่าเป็น ส.ส. ไม่สนใจประชาชนที่เลือกตัวเองมา มันไม่ได้ เขาไม่ได้ตั้งใจดูและไม่ได้ตั้งใจหมายมั่นว่าเมื่อเปิดแล้วจะเป็นรูปโป๊เช่น นี้ และเมื่อเป็นรูปโป๊อย่างนี้ ตามสำนึกของคนที่เห็นว่าไม่ควร ก็ควรอย่างยิ่งที่จะปิด หรือลบทิ้ง ไม่ได้เป็นเรื่องราวใหญ่โตอะไร
        นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมไม่พูดในเชิงค่อนแคะว่าทำไมนายณัฏฐ์ “ไม่รู้จักกาลเทศะ” และผมเห็นว่า เรื่องแค่นี้ มันไม่ได้ร้ายแรงกันถึงขนาดว่านายณัฏฐ์จะต้องลาออกจาก ส.ส.
        ก็เหมือนกับที่มีคนค่อนแคะนายกยิ่งลักษณ์ว่าแอบกดโทรศัพท์อยู่กลางขบวนแห่ พระบรมศพเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ จนสลิ่มเจอ “ส้นตีน” ตำตาว่าที่นายกปูกดนั้น ก็เพื่อที่จะปิด ไม่ให้ต้องได้ยินเสียงโทรศัพท์ให้รำคาญแก่โสตประสาทของข้าราชบริพารและข้า ราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายที่เรียงรายอยู่รอบตัวในขณะร่วมขบวนแห่ดังกล่าว
        แถมสลิ่มยัง “เจอดี” เมื่อมีคนโพสรูปของอดีตนายกมาร์ค ยืนโทรศัพท์ท่ามกลางบรรดาผู้นำประเทศในระหว่างการประชุมระหว่างประเทศช่วง ที่ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
        สลิ่ม “ช็อก” กันเป็นแถว
        ไม่รู้จะเถียงเช่นไร
        บรรดาสลิ่มหูเบาคงแอบกรี๊ดวี้ดบึ้มอยู่ในใจ...
        “กูแพ้มึงอีกแล้วเหรอเนี่ย ?!”

        ผมจึงไม่เห็นเหตุผลอะไรที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย จะดำเนินการใด ๆ เพื่อเอาผิดกับนายณัฏฐ์ให้ได้ และยิ่งไม่ควรที่จะนำเรื่องนี้ไปยั่วยวนผู้ตรวจการแผ่นดินว่า “แล้วอย่างนี้ล่ะ จะมีหน้ายังไง จะบอกว่าอย่างนี้มันผิดจริยธรรมนักการเมืองไหม ทีกูละด่าจังเลย ที่ว่านายกตั้งนลินีกับณัฐวุฒิไม่รอบคอบพอ” เพราะมันเป็นเรื่องไร้สาระ
        มันเป็นเรื่อง “ไร้สาระ” โดยแท้
        ผมก็รอดูเรื่องนี้ว่าพรรคเพื่อไทยจะ “หน้าแหก” กันอย่างไร เมื่อถ้าผู้ตรวจการแผ่นดินจะครวญว่าเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ (แต่ผมว่ามันหยุมหยิมจริง ๆ) จะเอามาให้รกบ้านรกเมืองทำไม พรรคเพื่อไทยก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาครวญโอดกาเหว่ากันแปดหลอดยี่สิบหลอดว่า “ผู้ตรวจการแผ่นดินสองมาตรฐาน”
        ก็ตัวเองเอาเรื่องหยุมหยิมไปให้เขาเอง จะไปว่าอะไรได้ ถ้าเขาจะไม่สนใจเรื่องนี้ รับไว้ให้อีนุงตุงนัง เป็นขี้ปากของประชาชนเสียเปล่า ๆ
        อะไรที่ละเว้นได้ ก็ควรละเว้นเถอะครับ นักการเมืองทุกฝ่าย (ย้ำว่า “ทุกฝ่าย”)
        อะไรที่พอจะให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหาได้ ก็ควรให้ อย่าคิดว่าคน ๆ นั้นจะเป็นพวกเดียวกันหรือคนละพวก
        ไม่ใช่คิดเข้าข้างตัวเองเอาแต่ว่า “ทีใครก็ทีใคร กูจะเล่น”

        แต่ก็ยังไม่เท่ากับที่ผมได้เห็นธาตุแท้ของคนบางจำพวกที่ทำตัว “ปากว่าตาขยิบ” โดยอาศัยคราบของผู้ปกป้องรักษาจริยธรรมของนักการเมืองเข้าบังหน้า และทำหน้าที่ตรวจสอบนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามกันสุดลิ่มทิ่มประตู โดยไม่สนใจว่าเรื่องนั้นจะเป็นเช่นไร จะหยุมหยิม จะไร้สาระหรือไม่
        ถ้ามีช่องให้หาเรื่องได้ กูก็จะลอดช่องไปด่าเขาแม่งลูกเดียว พอเรื่องแดงออกมาก็แทนที่จะรับผิดชอบ กลับทำลอยชาย ลอดช่องกลับพรรคตัวเอง เงียบซักพัก พอมีเรื่องกระทบโสตประสาทอะไรมาอีก ก็จะลอดช่องไปด่าเขาเหมือนเดิม
        เอ๊ะ ! นี่มัน “วัฏจักร” หรือเปล่า ?!
        แต่บางคนใช้คำที่ให้ภาพพจน์ “แรง” กว่า “ลอดช่อง” มาก ก็คือ...
        “มุดรู”
        นักคิดคำคมแรง ๆ ด้านความรักที่ชอบมาอวดประชันวาทศิลป์กันบนเฟซบุ๊คยังอาย
        สนใจจะคิดอะไรแรง ๆ ด้านการเมืองมั้ยครับ ?!
        หนับหนุนเต็มที่

        คนได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของ “รังสีมา รอดรัศมี”
        คนอาจจะเรียกให้มันเว่อร์บรมว่า “รังซีม่า” แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า ที่ว่าชอบตรวจสอบนักการเมืองนั้น “เป็นธรรม” หรือไม่
        ผมชักจะเห็นการปรากฏตัวของ ส.ส. คนนี้บ่อยถี่เกินไปจนคนชักจะรำคาญ เพราะกัดทุกเรื่อง เสียดสีการทำงานของนายกรัฐมนตรีซึ่งมันเลยกรอบการตรวจสอบไปหลายขุม เรื่องหยุมหยิมก็ไปเล่น จะคาดคั้นให้นายกต้องรับผิดชอบ ต้องลาออก อ้างว่าปกป้องสิทธิสตรี แต่ไปด่านายกเสีย ๆ หาย ๆ อย่างกรณี ว.5 ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ร่วมหอลงโรงกับกระทาชาย 3 หน่อแห่งรายการ “สายล่อฟ้า” ซึ่ง “เซียร์ ไทยรัฐ” ขึงกางเกงในไว้ในการ์ตูนหน้า 3 พร้อมทั้งเขียนทับไว้ว่า
        “สายล่อเป้า”
        และก็ยังไม่มีวี่แววที่บรรดาสามหนุ่มดังกล่าวจะออกมาขอโทษเพราะ (ต้องรู้ว่า) มันเป็นความเท็จ 100% (สำนวนของจตุพร พรหมพันธุ์) กลับเดินลอยชายลอยหายไปในกลีบเมฆ
        “รังสิมา” ก็เลยได้รับอานิสงส์ ลอยหายกลับไปสิงสถิตที่ปากอ่าวแม่กลอง ดอนหอยหลอด หรือสวนมะพร้าวอันเป็นบ้านเกิด
        เป็นเจ้าแม่ที่หาแดกเศษเลยกับเรื่องหยุมหยิมจนเป็นข่าวโดดเด่นได้ทุกวัน และก็ยิ่งเสริมความโดดเด่นเป็นที่สนใจเป็นทวีคูณเนื่องจาก
        “สองมาตรฐาน”
        เมื่อเกิดกรณีอย่างนายณัฏฐ์ จึงไม่แปลกใจที่รังสิมาจะบอกว่า “นายณัฏฐ์ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร”
        นี่ก็อีกคนนึง “มัลลิกา บุญมีตระกูล” ส.ส.ปากกล้าปากดีฝ่ายหญิงอีกคน ซึ่งก็ใบ้แดกกันแหลกลาญเมื่อเจอกรณี ส.ส.ในพรรคตัวเองดูรูปโป๊
        เห็นชัด ๆ ชอบไปว่าระรานคนอื่นไม่เว้นแต่ละวัน หาว่าไปเอากันบนชั้น 7 โฟร์ซีซั่นส์ สร้างดราม่า “เอาอยู่” จนสลิ่มก็พากันเชื่อแบบไม่ต้องตรองห่าตรองเหวอะไรเลย พอพวกตัวเองไปทำอะไรไม่ดี รึไปว่าคนอื่นเสีย ๆ หาย ๆ
        เงียบ !!
        มัวเป่าห่าอะไรกันอยู่ ?!
        บางทีที่เงียบคงไม่ใช่เพราะ “สองมาตรฐาน” ไม่ด่าพวกตัวเองหรอก แต่อาจจะเป็นเพราะ
        “อึ้ง” จนพูดไม่ออกเสียมากกว่า !!

        หยุดขยายเรื่องนี้ให้เป็นประเด็นยืดยาวบานปลายเถอะครับนักการเมืองทุกฝ่าย ทุกสี วันนี้ประชาชนกำลังสนใจการแก้ไขรัฐธรรมนูญและรอฟังความจริงจากนักการเมือง ว่าจะเอายังไง สิ่งที่เสนอต่อรัฐสภาจะทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์แค่ไหน
        ผมบอกไว้เลยครับว่าสำหรับผม รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะคลอดออกมาต้องเห็นหัวประชาชนเป็นสำคัญ เห็นแก่ตัวกันน้อย ๆ หน่อย ไม่เช่นนั้นประชาชนอาจจะไม่เห็นหัวท่าน (เป็นการตอบแทน) ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ก็เป็นได้
        แต่บรรดาสลิ่มหรือพวกที่เคลื่อนไหวรอกระแสรัฐประหารลม ๆ แล้ง ๆ หล่นใส่ง่ามตีนอยู่ทุกวันก็อย่าดีใจว่าเมื่อประชาชนเกลียดนักการเมืองแล้วจะ หันมาหาพวกตัวเอง ไม่ใช่ครับ บางครั้งถ้าประชาชนสุดทนกับนักการเมืองกันทั้งโคตรเสียแล้ว อาจจะต้องผันตัวเองมาเป็นนักการเมืองเสียเอง เพื่อผลักดันเรื่องของประชาชน (ที่นักการเมืองไม่เคยสนใจ) ให้เป็นจริง ทำได้ ไม่คิดที่จะหันไปหาพวกที่จ้องเขมือบอำนาจรัฐและหาแดกกับผลประโยชน์ของชาติ แบบไม่ต้องลงทุนด้วยการ “ล้มกระดาน”
        พวกต่อต้านประชาธิปไตยแบบ “แอ๊บ ๆ” อย่างหนาวก็แล้วกัน
        ขอฝากคำคมของเพจ “ศาสดา” ที่มีต่อเรื่องนี้ในช่วงแรก ๆ ที่ประเด็นดังกล่าวนี้ได้บูมขึ้นมา ก่อนที่นายณัฏฐ์จะออกมารับผิดชอบในเรื่องนี้ แบบแรง ๆ ไม่เซ็นเซอร์ว่า
        “ความเงี่ยนไม่เคยแบ่งสี ความหงี่ไม่เคยแบ่งฝ่าย”
        จบข่าว

ก้อนอิฐ
20 เมษายน 2555

วันชาติหายไปไหน ? (กาพย์ยานี 11)

        วันชาติหายไปไหน ?                   หายไปไหนยุคสฤษดิ์
จอมพลคนสิ้นคิด                                ครองเบ็ดเสร็จเผด็จการ
        เดิมเรามีวันชาติ                        คณะราษฎรสาน
ในอดีตกาล                                      ผ่านกาลเนาเหย้ากาลมา
        มีไว้เป็นศักดิ์ศรี                         ยี่สิบสี่มิถุนา
แสดงถึงประชา-                                ธิปไตยในแผ่นดิน
        จัดงานร่วมฉลอง                        ตามครรลองมิได้สิ้น
มีแต่เป็นราคิน                                  ของพวกรักศักดินา
        เหมือนผีที่กลัวพระ                     จึงคิดระรานต่อมา
สฤษดิ์คิดนำพา                                  ประเทศส่งลงทะเล
        ทำตัวเผด็จการ                          รัฐประหารด้วยเสเพล
โกงรวยล้วนสรวญเส                            แลพิฆาตอนาถคน
        มาตราสิบเจ็ดปราบ                    เอากำราบประชาชน
ต่อต้านเพียงสักหน                              เจอเด็ดขาดพิฆาตตาย
        เสียดายสุดสำคัญ                        วันชาตินั้นสุดเสียดาย
ครม. นั้นหมาย                                   ลดคุณค่าประชาชน
        วันชาติแต่ก่อนมา                        อนิจจามิได้สน
เล่นแร่และแปรกล                               มติรัฐขัดเจตนา
        แอบอิงสถาบัน                           เปลี่ยนเป็นวันห้าธันวา
จุติพระชนมา-                                    ยุในหลวงแห่งปวงไทย
        บิดเบือนเจตนา                          นี่จะว่าใช่ที่ไหน
คนละเรื่องกันไป                                 มิอาจถือคือวันชาติ
        ชาติคือประชาชน                       เคียงคู่ยลกษัตริย์ศาสน์
เราคือปวงทวยราษฎร์                         ผู้สร้างไทยให้วัฒนา
        วันชาติที่หายไป                        เหตุไฉนไม่มีมา
ควรเราจะทวงหา                               ให้กลับมีเป็นศรีไทย
        ย้ำเตือนเอกราช                         ให้ประกาศถึงถิ่นไกล
ประชาธิปไตย                                   นั้นเรามีคู่ชีวัน
        จงทวงของของเรา                       ที่เราเฝ้าคิดอย่าฝัน
เป็นตายให้เป็นกัน                               เพื่อพิทักษ์ด้วยรักไทย

ก้อนอิฐ
20 เมษายน 2555

รึว่า “ล่าแต้ม ?!” (กลอนสุภาพ)

        ทำนบแค้นคลอนแคลนแอ่นเกือบหัก      บ หยุดพักอาวรณ์ซ่อนกลิ่นหืน
ไฟโหมเข้าเหมือนซ้ำกระหน่ำฟืน                  แดดเผาเอาความชื้นลับละไป
        ทำดีกันต่อหน้าพูดว่าจริง                   ไม่มีสิ่งที่จะมาน่าสงสัย
แต่ลับหลังคำว่าของใครใคร                        หูอาศัยได้ยินระบิลเต็ม
        ทำตัวหัวใจแตกสลาย                       ให้แตกพ่ายเจ็บขึ้งไม่พึ่งเข็ม
กูนี่หรือคือผัวน้อยคอยและเล็ม                     กี่เดือนเต็มที่คบกันนั้นเท่าไร
        อาณาจักรรักทิ้งยิ่งไพศาล                   ประมาณการสุดเกินจะบอกได้
ว่าทำตัวแบบนี้แต่เมื่อใด                            คงไม่ไหวจะประมาณให้แน่ชัด
        เรื่องนี้สามัญธรรมดา                        ไม่ได้ว่าด้วยเลวเป็นถนัด
แต่ที่ทำกันมาหลักฐานมัด                           ไม่มีสัตย์สิ่งใดให้ถือเอา
        เธอปิดบังความจริงทุกสิ่งอย่าง            เอาออกบ้างตามต้องการของสูเจ้า
เปลี่ยนใจไปเหมือนเปลี่ยนภูมิลำเนา           ใครจะเฝ้ารับเปลี่ยนทะเบียนใจ
        เธอทำตัวสรวญเสและเฮฮา              คนเป็นแฟนแทบบ้าหน้าไม่ให้
สุดจะทนตาแทบสุกลุกเป็นไฟ                   แทบจะไข้แดกกัน ณ วันนั้น
        มั่วผู้ชายตายห่าทั้งหน้าหลัง             ไม่คิดจะระวังกลับหลังหัน
ระวังเถอะเขาจะให้ดอกไม้จันทน์               พลุตะไลจะสนั่นพลันอาณา
        คบและเปลี่ยนเวียนหมุนทำหุนหัน      รู้สนั่นลั่นทั่วมั่วเหมือนหมา
คนเคยคบได้กลับรับน้ำตา                        ด้วยอีนังแพศยามันทิ้งไป
        ไม่ต้องสงสารกูกูมันโง่                     กูเสือกโตแต่ตัวหัวเสือกใหญ่
แต่สมองกับจิตไม่เท่าไร                           ประมาณได้อนุบาลประจานเอา
        โชคบันดาลให้เจอแต่แพศยา             หน้าไม่ใช่นางฟ้าปานใครเขา
กูเสือกหลงได้ยังไงกูคงเมา                        คนอื่นเขามีเยอะเสือกเลอะเลือน
        ถ้าเรื่องนี้เป็นคดีกูฟ้องแหลก              เด็กใจแตกกิริยาชอบป่าเถื่อน
ผสมพันธุ์ยามติดสัดกันทุกเดือน                   เด็กเลยเลื่อนเข้าท้องต้องทำแท้ง
        ฟ้องคดีลวงหลอกยักยอกโกง              พฤตินัยทำโล่งยิ่งโจ่งแจ้ง
อยู่ที่ไหนทุกที่ได้คงแสดง                          ให้เขาแทงเอามันกันแน่นคิว
        ทีกูเสือกไม่ให้ไซร้อยากถาม               กลัวเป็นความคนอื่นที่ก็หิว
เป็นไปได้อยากจะถีบอีนี่ปลิว                      อีหน้ายิวตามกันพันธุ์นรก
        ตามอีปลวกพวกเตี้ยเมียทุกคน            เลยสับสนเดนคนสกปรก
ฤาจะพันธุ์เดียวกันคงต้องยก                       สารพันปิฎกอรรถามา
        ต้องวิจัยซึ่งคนประเภทนี้                    พวกหน้า...อยากกามจึงถ่างอ้า
ให้เขาแทงแยงเอาจนเต็มตา                       วันไม่ได้คงจะบ้าแทบลงแดง
        ไม่อยากพูดถึงสกุลสถุนชาติ                 ให้หยดหยาดน้ำลายไปหล่นแห้ง
ไม่อยากพูดคุณศัพท์ไม่อยากแจง                 แต่คงแจ้งตามคำปากเขาเล่ามา
        จะสะใจถ้ามีใครเปิดปากแฉ              ไม่ต้องกลัวโคตรแม่จะตายห่า
ถ้าพูดจริงไม่มีใครจะสงกา                         จะชมว่าน่านับถือชื่อและนาม
        จะลองให้คนเอาไปวันวัน                   ให้ตื้นตันรสชาติประหลาดถาม
หวังเปลี่ยน...รวยผัวมั่วในกาม                     คิดเปลี่ยนด้ามสักเท่าไหร่ไม่อาทร
        จะเกิดทุกข์เท่าไหร่ไม่เคยคิด            พะวงจิตกังวลก็คงห่อน
เปลี่ยนผัวเหมือนเปลี่ยนฉากในละคร            สลับซ้อนก่อนหลังยากจะเดา
        อย่างนี้คงมีค่าแค่บนเตียง                 ให้เขาได้ฟังเพียงเสียงกระเส่า
และลีลาท่าทางเวลาเอา                           จะสมเพชแทนเจ้าก็มิควร
        หรือจะว่าล่าแต้มแกมสะสม               ดังเด็กสาวนิยมไปหลายส่วน
คิดว่านี่เป็นเกมที่ตีรวน                             ค่านิยมที่ล้วนยกย่องชาย
        นี่คือโอกาสของผู้หญิง                      ที่จะลองคบทิ้งได้หลากหลาย
เกือบรีบร้อนค่อนว่าจะทำนาย                     ไว้ก่อนตายศักดิ์ศรีเพศจะเท่าทัน
        สัญลักษณ์ปรัศนีมีเต็มหัว                 สงสัยทั่วจะดีใจหรือให้ขัน
ฤาจะหลอกผู้หญิงให้ตื้นตัน                       ให้แสดงซึ่งอันอำนาจเรา
        กลายเป็นเกมแก้แค้นแสนประชด        แต่ลืมหมดอำนาจแท้ของเพศเหล่า
จึงโดนหลอกซ้ำซากจำทำเนา                    เสียแต่เยาว์หมดค่าอนาถคน
        ถ้าไม่รู้สึกตัวก็มั่วต่อ                       แต่ว่าขอให้คิดถึงมรรคผล
ถ้าเกิดยังใจเปลี่ยวเที่ยวซุกซน                    คงต้องทนเจ็บตัววนทั่ววัฏ
        ถ้าคิดได้จะให้ใจถ้าต้องการ               แต่ถ้ายังฟุ้งซ่านด้วยกำหนัด
ไม่ต้องคิดผลตามเอาทางลัด                      จะป้องปัดอย่างไรสุดแต่เธอ
        นี่เป็นอุทาหรณ์ตอนเกือบจบ              จะทำตัวมีค่าลบแบบมั่วเผลอ
คงได้มั่วหาพ่อแทบไม่เจอ                         หรือแทบเพ้อขาดใจไม่คิดพาล
        คิดกันให้ฉลาดเถอะน้องหญิง              จะรักจริงหรือไม่ใช่แต่หวาน
ที่สำคัญจะเอากันคิดให้นาน                       จะป้องกันเหตุการณ์กันอย่างไร
        ทุกอย่างมีเสนอเอาให้พร้อม               ไม่ใช่ยอมคำประโลมเสนอให้
แค่นิดหน่อยนิดเดียวเลยตามใจ                    แต่สุดท้ายเป็นยังไงก็รู้กัน
        เพื่อเธอจะได้ไม่ต้องเจ็บ                     จากเขี้ยวเล็บผู้ชายหมายกระสัน
ปล่อยลูกน้อยในท้องให้เกิดกัน           อย่าสร้างมันถ้า “ไม่พร้อม” เป็นแม่คน !!

ก้อนอิฐ
16 เมษายน 2555

ซ้ำเติม !?! (กลอนสุภาพ)

        อุพิโธ่ ! โสมมสมที่โง่                  เปลือยและโป๊ความจริงทุกสิ่งสรรพ์
อ้าปากค้างตาทะลึ่งตะลึงงัน                 ฤาจะขันสั้นยาวแม้คราวเดียว
        ไม่แตกต่างจากคนก่อนเสียเท่าไร    ยิ่งงามไส้พอกันอันเรื่องเสียว
สารพันโลดโผนคนมันเคียว                   ชอบท่องเที่ยวเปลี่ยนผัวคั่วกี่วัน
        อันความเปลี่ยวไม่เข้าใครออกใคร   ไม่มีรักด้วยใจในกระสัน
แต่ละทีลองเข้าและเอากัน                    แซ่จำนรรจ์เสียงอึงคะนึงไป
        นึกว่าเธอจะมีอยู่แค่นี้                  นึกไม่มีพิษสงอยู่ที่ไหน
คิดว่าแรดธรรมดาไม่มีภัย                     ที่ไหนได้ซ่อนอะไรมาต่อนัก !
        รู้ความจริงเขาลือมาวงใน              ประกอบความกันให้เห็นประจักษ์
ว่าเล่นพลาดมิปรารถนาแล้วหมดรัก          สุดกระอักผลที่พลาดพินาศยับ !
        ต้องทำแท้งแทงรูสูคงเจ็บ              ด้วยเขี้ยวเล็บผู้ชายตัณหากลับ
เกิดพลาดพลั้งเธอคงจงต้องรับ                ให้ท่วมทับสมกับไม่ระวัง
        มันหนักหนากว่าคนที่โคตรเกลียด     หลายกระเบียดเหลือแหล่สุดแต่หยั่ง
จนคนอื่นมาเล่าให้เราฟัง                       จึงต้องชั่งน้ำหนักประจักษ์ดู
        สุดแต่โสตโพชผลก็จนใจ                ว่าทำไมต้องทำตัวน่าอดสู
ยิ่งกว่ามันคนนั้นที่ทิ้งกู                          คนที่รู้ว่าระยำทุกคำความ
        แสนสุดเจ็บหมอเย็บคงไม่ไหว          แสบเกินใจจะเยียวยาอย่าได้ถาม
เจ็บซ้ำสองต้องเจอคนบ้ากาม                  ไม่ให้หยามซึ่งตัวกลัวความจริง
        นึกว่ากลัวฉลาดประหลาดจิต          ไม่ให้คิดว่าเลวสุดยอดหญิง
ไม่ให้เอาทั้งที่อยากเรื่องมากจริง              พอวันทิ้งกลับเริงร่าอ้าขารอ !
        ยังมีคนมากมายรอเสียบอยู่           ทั้งที่รู้และไม่รู้ยังคอยต่อ
คบกี่เดือนไม่รู้กูจะรอ                          รู้แค่ขอความมันส์วันละที !
        จะได้เงินเลี้ยงตัวกันหรือเปล่า        ถ้าจะเอาคงเป็นเช่นกะหรี่
แต่ถ้าชอบแบบมั่วน้ำใจดี                     ให้เอาฟรีต้องฟันธงคงไม่นาน !
        จงสำเหนียกตัวเองให้เกรงบ้าง       มีตัวอย่างเจ็บกันมาเขาว่าผ่าน
เพราะชอบทำใจง่ายตามสันดาน            จึงเจือจานรักที่แถม...เอา
        ถ้ายังจำกันได้ฟังกันบ้าง              ดูตัวอย่างที่เอ่ยด้วยเคยเล่า
ประณามเลวเหวห่าก็ฟังเอา                 พอทำเนากันมาประดามี
        ระวังภัยร่างกายตัวเองบ้าง          ไม่ให้ตัวเป็นอย่างอีหน้า...
ป่วยซ้ำแซะขี้เกียจแวะทำตัวดี              เยี่ยมทุกทีนึกสมเพชเวทนา
        ไม่ได้ทำทำไมต้องรับผิด             จากคนอื่นแสดงฤทธิ์เป็นปัญหา
แล้วก็โยนภาระให้ถึงมา                     ไม่รู้สึกรู้สาแต่เพียงปลาย
        เคยฟังกันแล้วมิใช่หรือ              เป็นห่วงคล้ายคือจะฉิบหาย
ชอบตกผัวเป็นสำเร็จเสร็จทุกราย          ใครเขารู้คงอายสุดทำเนา
        จบวันนี้ด้วยคำว่าเสียใจ             ไม่ต้องถามว่าทำไมถึงต้องเศร้า
เหมือนหัวใจใส ๆ โดนชำเรา               แล้วแผดเผาให้มลายกลายเป็นไอ
        ไว้อาลัยเพียงเสี้ยววินาที            แด่คนหน้า...เสียไม่ได้
ดำรงความเป็นโสดกันต่อไป                 คุมหัวใจไม่ให้ “ง่าย” เหมือนก่อนมา !!

ก้อนอิฐ
14 เมษายน 2555

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555

ความ “ดอกทอง” ไปรบกวน “ลมหายใจ” ใครหรือ ? (ฉันท์ผสม : กลอนสุภาพ + กาพย์สุรางคนางค์ 28)

                                               อีคำผกา
ไม่รู้ใครด่า                                   เธอว่าอย่างนี้
ประจานต่อหน้า                             เหล่าประชาชี
ว่าเป็นกะหรี่                                 และมารสังคม
                                                วิจารณ์พระเจ้า
ที่ชอบกล่อมเกลา                            วาจาประพรม
คนฟังติดใจ                                   จึงใคร่นิยม
ยิ่งกว่ารื่นรมย์                                 บันเทิงเริงเพลง

        เธอคิดเล่นเห็นต่างในทางว่า        ศาสนาใดเล่าไม่เกี่ยวข้อง
ทั้งระบบการเมืองการปกครอง             ด้วยทำนองเห็นจริงยิ่งวงใน
        ตีโจทย์แตกแต่แรกเริ่มวิจารณ์      ให้เป็นทานแก่คนที่สงสัย
หลายเรื่องจริงเหตุผลเคล้าปนไป           สรุปได้ศาสนาแตกต่างกัน
        ศาสนาบริสุทธิ์นั้นหายาก            คงลำบากถ้ารัฐไม่เสกสรร
รับไว้เพื่อสถาปนาการเมืองนั้น              ไว้ช่วยกันรักษาอุดมการณ์
        บางที่สองอย่างนี้เนื้อเดียวกัน        อันศาสน์นั้นครองเองสุดแต่ท่าน
วาติกันคือตัวอย่างหนึ่งประการ             ครองวงศ์วานศาสนจักรทั่วโลกา
        หากศาสนาบริสุทธิ์ผุดผ่องจริง       คงไม่มีสิ่งแย้งศาสนา
นั่นคือสงครามศึกศรัทธา                     อย่านึกว่าคนพุทธจะไม่มี
        เธอตรงไปตรงมาอยู่ตลอด           เธอถูกตอดหลายครั้งอย่างเต็มที่
ประทับตราอีชั่วมั่วราคี                       สามัคคีชุมนุมรุมบาทา
        เพียงแค่วิจารณ์กันตามจริง           ฤาจะทิ้งข้อสังเกตไม่กังขา
เอาเพียงแค่งมงายกับศรัทธา                 ถึงกับบ้าจะฆ่าคนต่างกัน ?!

                                               ไม่ตั้งคำถาม
เชื่อแล้วคล้อยตาม                          คำเร่งระดม
มารศาสนา                                  คำด่าพร่ำพรม
โยนลงอาจม                                 สกปรกไป
                                                ไม่มีเหตุผล
ก็จะด่าคน                                    สุดฤทธิ์จิตใจ
ด่าจนเสียหมา                                ไม่สนหน้าใคร
อีห่างามไส้                                    โชว์หัวนมดำ
                                                สาปคนอื่นผิด
ไม่ต้องมัวคิด                                 ให้มันเปลืองคำ
สบถหยาบคาย                              แถมป้ายสีซ้ำ
ผู้หญิงระยำ                                  เกิดมาได้ไง
                                                กูรู้กูว่า
เกิดให้มึงด่า                                  เอาให้สมใจ
แค่คิดเห็นต่าง                               พลางคิดแก้ไข
เผื่อจะนำไป                                  ปรับปรุงให้ดี
                                                มึงดีตายห่า
ที่พล่ามไปว่า                                 กันทุกถิ่นที่
อย่างไม่ยากเย็น                              ว่าเป็นกะหรี่
ปั้นให้เป็นผี                                   ขึ้นมาอีกคน

        เธอชี้ชวนคนคิดผิดระบอบ           สนองตอบจริตคิดสงสัย
ว่าวิถีแห่งพุทธในเมืองไทย                   นี้มันเป็นเช่นไรไม่อินัง
        จะสวดมนต์ข้ามปีดีจริงหรือ         หรือจะคือสาปตัวเองให้ถูกขัง
คิดว่าสุขแต่ตัวอยู่ประทัง                     ก็จะยั้งตนอยู่มิรู้ใด
        มิรู้ความสังคมที่ตรมอก               มันผันผกเลวทรามไปไฉน
ไม่ยุ่งเกี่ยวการเมืองให้เปลืองใจ              เหมือนปล่อยให้เรื่องมันไปตามกรรม
        เหลืองกับแดงแทงกันไม่รู้เรื่อง        ห่มผ้าเหลืองเทศนาไปว่าขำ
ตัวเป็นกลางบอกให้หยุดการกระทำ         แต่เสือกพร่ำเหล่ตาไปทางเดียว
        เธอกระชากไส้เหลืองที่เปลืองเทศน์  ให้มูลเหตุจริงแท้ไม่ทอดเที่ยว
หลักฐานจากพุทธกาลผูกเป็นเกลียว          ใครลดเลี้ยวคงเห็นประจักษ์กัน

                                                ใช้เสรีภาพ
กลายเป็นผิดบาป                            สาปเป็นผิดไป
ประณามรุมด่า                               เอาว่าจัญไร
ถือสัญชาติไทย                                แต่ใจอื่นแล้ว ?!
                                                สงกาสงสัย
ว่าประเทศไทย                               นี้ปานดวงแก้ว
ใครติเอาหน่อย                               มิค่อยจะแคล้ว
พาติดบ่วงแร้ว                                กับดักผลักไป
                                                ผ้าคลุมสีขาว
จะปิดความคาว                              ได้นานแค่ไหน
ไม่มองดูตัว                                    ว่าชั่วกระไร
ใครรู้หรือไม่                                    ถามไถ่ดูเอา
                                                เขาคงด่าว่า
หรือแค่นินทา                                ตามเรื่องหนักเบา
อันศาสนา                                    ที่ว่าขัดเกลา
อันจริงแท้เข้า                                จะเหลืออะไร
                                                พระพุทธเจ้า
พระองค์ทรงเอา                             ประชาธิปไตย
ใฝ่เสรีภาพ                                    ทาบทับจิตใจ
ทรงเป็นห่วงให้                               ปวงชาวชมพูฯ
                                                หมดสิ้นวัฏฏะ
แห่งชั้นวรรณะ                                งมงายอดสู
ประพฤติแนวทาง                             ตามอย่างคำครู
ค้นเองจนรู้                                     สาเหตุทุกข์ทน
                                                แม้นรู้แจ้งแล้ว
ข้อธรรมเพริศแพร้ว                          ใช้ได้ทุกหน
สั่งสอนศิษยา                                  กันมาทุกคน
ซึ่งธรรมของตน                                ให้แจ้งทั่วกัน
                                                แต่มิได้ว่า
แพร่ศาสนา                                   ในถิ่นอื่นนั้น
ถ้าไม่นับถือ                                   ก็คือฆ่ากัน
มอบปัญญานั้น                                  ให้คนเลือกเอง

        มิได้ไปเดียดฉันท์ลัทธิอื่น                ยังยั้งยืนอยู่ได้ไม่หน่ายแหนง
เพราะท่านให้ปัญญามาจัดแจง                ให้คนคิดจนแจ้งอย่างเสรี
        ผิดแบบแตกต่างอย่างกลับหลัง         กับคนคลั่งศาสนาทุกถิ่นที่
นึกว่ากูเป็นใหญ่ในปฐพี                         จึงชอบชี้คนอื่นว่าผิดไป
        คิดว่าตัวเองถูกที่สุด                      ฤาจะสวมมงกุฎผู้ยิ่งใหญ่
จึงไม่ยอมบรรดาใครต่อใคร                     ที่เขาไม่เห็นด้วยเห็นต่างกัน
        วี้ดกับวีนตีนนำตาลปัตร                 ยอมสลัดขันติธรรมเข้าห้ำหั่น
เห็นปานอมนุษย์รุดประจัน                      คงเป็นบุญสุดอนันต์ของปวงคุณ ?
        เป็นประชาธิปไตยไฉนหนอ              โอละพ่อเมืองขึ้นชื่อลือศาสน์สุนทร์
ชอบประณามหยามเหยียดคนไร้บุญ           เหมือนเศษฝุ่นรังควาญจมูกตน
        ฤาจะกลายเป็นรัฐศาสนา                จะบังคับชาวประชาไปทุกหน
คงจะลงกฎวัตรต้องสวดมนต์                    สาละวนเข้าวัดทุกวันพระ
        ไม่ทำก็จับเข้าร้องฟ้องความ             เหมือนบ้ากามปล้นฆ่าจิปาถะ
ฤาพระจะเป็นใหญ่ตามใจพระ                  อ้างจะชะล้างบาปพินาศไป
        ไม่ต่างอะไรที่จะขาน                      เผด็จการศาสนาว่างามไส้
ยิ่งกว่าวาติกันที่อยู่ไกล                            เพราะเราสัมผัสได้อยู่ใกล้ตัว
        จะชี้หน้าด่าคนด้วยความหาญ           โดยประจานให้เห็นประเด็นชั่ว
สุดสังเวชทำเป็นไม่เห็นตัว                        ส่องเงาหัวดูจะชั่วสักเพียงไร ?!

                                                หนึ่งในเหยื่อบาป
ซึ่งเสรีภาพ                                    คือ “คำผกา”
ข้อหาฉกรรจ์                                  ปั่นศาสนา
ให้กลายเป็นสา-                              มัคคีเภทไป
                                                ต่อไปคงแรง
กันจนทุกแห่ง                                 ระแหงถิ่นไทย
โจษจันพิพาท                                 เกลื่อนกลาดทั่วไป
กล้าเห็นต่างใน                                สิ่งเหนือตัวเรา
                                                คนหวงอำนาจ
มองดูชั่วชาติ                                  ในร่างเปี่ยมเชาว์
จะรู้สึกตัว                                      ดีชั่วไหมเล่า ?
จะทนทำเนา                                   กี่น้ำเล่าเอย ?!

ก้อนอิฐ
10 เมษายน 2555

นิสัย ? (กลอนหก)

น้ำเน่า เต้าข่าว ยาวเหยียด
ละเลียด เดียดฉันท์ ดั้นด้น
เหยียบซ้ำ ชำแรก แปลกคน
โธ่ทุด สุดทน จนใจ !

ตรรกะ บ้าบอ คอแตก
กระแทก แดกดัน โจนใส่
ปากดี บัดสี ขี้ไคล
เหตุใด คนเชื่อ เหลือบาน ?

ประณาม หยามเหยียด เดียดฉันท์
โรมรัน ประจัน ล้างผลาญ
ลือความ นามมัน สันดาน
พร่ำพาล มิเห็น เป็นไร

ปากหวาน ก้นเปรี้ยว เคี้ยวยาก
ไฉน เชื่อมาก ชมไหว
โลมเลีย เคลียเคลม เปรมใจ
แดนไตร มิเทียบ เปรียบทัน

ฤาคน ไปคิด จิตเชื่อ
มิเบื่อ จ๋าจ๊ะ กระสัน
หดหู่ ไม่รู้ เท่าทัน
แล้วมัน จะเป็น เช่นไร ?!

ความจริง หดหาย ตายจาก
พลัดพราก สูญสิ้น หลุดไหล
คงเหลือ เพียงแต่ เปลวไฟ
เผาไทย ให้วาย ตายกลม !!

ก้อนอิฐ
10 เมษายน 2555

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

บุคคลน่าถีบ ! (กลอนสุภาพ)

        วาเลนไทน์จบลงด้วยความเหงา       กูยิ่งเศร้าเหมือนเดิมเติมความเจ็บ
ใครก็ต่างเข้ามาเถือกรีดเล็บ                    เหมือนจะเก็บอนุสรณ์ตอนสุดท้าย
        เหมือนไม่มีใครรักแน่นักแล             เหมือนไม่มีใครแลน่าใจหาย
เหมือนต้องอยู่โดดเดี่ยวแล้วเดียวดาย         แถมถูกป้ายสีเอาชำเรากัน
        ไม่เป็นไรหาใหม่ก็ได้วะ                 คงมีคนที่จะไม่ขำขัน
คงเป็นสาวยังรักพรหมจรรย์                    มอบใจให้ฉันทั้งกายไว้
        ยังต้องย้อนคดีความแต่เก่าก่อน        ที่ตามมาหลอกหลอนอีกพักใหญ่
ไม่นึกก็ขึ้นหน้าอีจัญไร                           มองไม่เห็นหัวไหล่โคตรแม่มึง
        ยังโทรกวนบาทาบ้าเห่อผัว              มึงจะมั่วยังไงคิดไม่ถึง
เป็นขนมคนกินก็อื้ออึง                           แม่งจะแข่งแย่งดึงกันแดกเอา
        นิสัยเหี้ยเลียปากทำนายได้              ชอบไปแย่งหัวใจชาวบ้านเขา
เรื่องเมียผัวอีนี่ไม่เคยเบา                        แม้แต่น้องจ๊ะเขาก็ยังยอม
        วันนี้มีเย้ยว่าเลิกเหรอ                    ก็ตอบบอกว่าเออไม่เพ้ออ้อม
มึงน่ะสิแมลงวันมันยังตอม                       ก็ลองนึกว่าจะดอมดอกอะไร
        อย่ามาเพ้อใกล้อยู่เดี๋ยวกูถีบ              กูไม่รีบทำหรอกโอกาสให้
วิจารณญาณมีทำไม                               ก็มีให้คนใช้พิจารณ์ดู
        ปากอย่ามาสะเออะเขย่งเท่า             ทำท่าเกาน้องจ๊ะเหมือนคันหู
กูรำคาญไปไกล ๆ ส้นตีนกู                       กูไม่อยากจะรู้ชีวิตมึง
        ปากว่าตาขยิบกูละเกลียด                มันโคตรเสียดใจกูรู้ไม่ถึง
คงเป็นกรรมเก่าที่รัดรึง                           จะไปพึ่งพระไหนไม่ลบล้าง
        ยังหยิกเล็บเจ็บเนื้อเถือผิวหนัง           เหมือนฝากฝังรอยแค้นทุกสิ่งอย่าง
เอาให้เจ็บปวดแสบแทบทุกทาง                มึงมันไร้ซึ่งยางแห่งความอาย
        เห็นกูครวญสนุกนักใช่ไหม               กูคล้ายทาสมึงเป็นไทอีฉิบหาย
มึงขี่กูรู้กันว่านั่นควาย                             เขาล้อกันให้ตายว่าโง่งม
        กูสลัดซึ่งพันธนาการ                       ซึ่งตรึงติดมานานได้สุขสม
ออกจากทุกข์กลายเป็นสุขอภิรมย์                ไม่ต้องทนดอมดมแต่ก้านไม้
        ถึงเป็นดอกก็คงบอกอีดอกทอง           มิได้ต้องสิ่งดีที่อาศัย
เป็นดอกไม้ว่าแต่เป็นของใคร                     ทำงามไส้งามหน้าทั่วธานี
        อย่าให้กูขึ้นอีกระลอก                       จะเอาหอกฟาดให้กลายเป็นผี
จะไม่ตัดให้ตายในทันที                             ให้เห็นเลือดบัดสีมันไหลลง
        อุ๊ยตาย ! ไม่ได้สิเกือบไป                    คิดได้ไม่ให้เสียประสงค์
ต้องเอาก้านใบตองรองให้คง                       เอาตัวมันวางลงส่งนรก
        เลือดชั่ว ๆ จะไม่ลงทั่วแผ่นดิน             ให้เสียศักดิ์ท้องถิ่นสกปรก
ให้มันเป็นราคินต้องยอมยก                        ให้หมู่นกแร้งกามันมากิน
        แต่เชื่อว่าตัวมึงทั้งเลือดเนื้อ                 คงจะเหลือบริบูรณ์ไม่สูญสิ้น
ไม่มีแหวะแคะแหว่งเพียงเศษดิน                  คงไม่วิ่นสักชิ้นแม้หนึ่งเดียว
        จะทำยังไงกับมึงดี                           หมดสิ้นสักทีไม่มีเสียว
ตัดปัญหาตรง ๆ ไม่ลงเลี้ยว                        จะไม่ต้องเที่ยวหาลำบากกาย
        หักซิมที่มึงให้ทิ้งไปเสีย                     อดีตเมียแค่นี้ไม่เสียหาย
ต้องลบลืมอีหน้ามารสันดานควาย                ไม่เสียดายเพราะตังค์ก็ของมึง
        เลิกแล้วอย่าหันหน้ามาหากู                และอย่ามาขู่ให้รู้ถึง
ในสันดานกะหรี่ที่รัดรึง                             วิญญูชนก็พึงจะหลีกพ้น
        นิสัยไม่เกี่ยวกับพ่อแม่                       เพียงแต่ทำเองตั้งแต่ต้น
เอาปากเน่าเป่าน้ำทำเป็นมนต์                     สักกี่คนเจอไปไม่เอาการ
        เจอมึงเหมือนขับรถไปชนเหว              มึงมันเลวกว่ารัฐประหาร
มึงสุดยอดบัดสีอีสันดาน                           สุดรำคาญออกไปไม่ต้องมา
        แม้มึงยังจะมาใกล้ ๆ                       จะถีบมึงออกไปไม่ต้องหา
แม้มึงยังยั่วยวนนานา                              กูจะคว้าส้นตีนเขวี้ยงใส่มึง
        อะไร ๆ ก็ทำได้                             ไม่แคร์ใครทำไมกูใจถึง
ก็มึงเคยทำอะไรตามใจมึง                         กูจะทำสักครึ่งหนึ่งก็พอใจ
        นี่ละธาตุแท้ของตัวกู                        อย่ามาอดสูน้ำตาไหล
ที่เจ็บก็เพราะสันดานใคร                          อย่าให้กูจัญไรไปอีกคน
        ถ้ามึงมาอีกทีจะถีบรอ                      ไม่พาส่งหาหมอเลยซักหน
ค่ารักษาไม่มีกูมันจน                                แต่ดอกต้นที่เกินต้องจ่ายกู
        คิดบัญชีแค้นไม่เคยสาย                    มึงอย่าลืมจ่ายไม่ต้องขู่
อย่ามาทำเป็นเหี้ยตบเมียกู                        กลับไปอยู่ในรูดีกว่ามั้ย ?
        หมดรึยังมุขกากที่อยากเล่น                ถ้าหมดแล้วก็เผ่นอยากไปไหน
มึงรีบคิดแล้วก็ดีดไปให้ไกล                           ก่อนจะโดนใครต่อใครรุมตีนเอา
        ฝากจองส้นตีนใบหน้า                       จองตรงปากดีกว่าคนอื่นเขา
กูจะได้กระทืบถูกลำเนา                            เผื่อจะมีหมาเน่าหลุดออกมา
        สมที่เขาว่ากันจริง ๆ                        มึงเป็นผู้หญิงที่ใจหมา
น่าถีบให้ถึงซึ่งดวงตา                               ให้ไม่มีไว้มองหน้าผู้ชาย
        ถ้าพ่อแม่หมดหวังตัวในตัวมึง              ก็คงถึงเวลาจะฉิบหาย
ใครต่อใครก็ย่อมจะทำนาย                           มันจะตายเพราะผู้ชายจะถีบมัน             
        ไปดีเถอะมึงถึงคราวตาย            เถอะอีฉิบหายไม่ขายฝัน
รอดูตอนสุดท้ายก็แล้วกัน                    ถ้ามึงยังเห็นทัน...เจอตีนกู !!

23 กุมภาพันธ์ 2555

“อุดรพิทย์” จุดประกายการต่อสู้แบบ “โดมิโน” “ฝั่งแดงวิทย์-นวมินทร์ฯ พายัพ” แท็กทีมไล่ ผอ.


        เป็นความช่างคิดของมนุษย์เสียจริง ๆ ครับที่มีคนนำคลิปการชุมนุมเพื่อไล่ผู้อำนวยการของนักเรียนโรงเรียนอุดร พิทยานุกูล จังหวัดอุดรธานี ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว กับของโรงเรียนเขาวงพิทยาคาร จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อปี 2553 มาเปรียบเทียบกันถึงความมันและความแรงที่เกิดขึ้น ผมว่ามันก็ดีเหมือนกันครับ จะได้รวมเรื่องไว้เพื่อนำข้อมูลเสนอสู่สังคมว่ากระบวนการทางประชาธิปไตยยัง ดำรงอยู่ในสังคม
        ถึงแม้จะไม่ค่อยชัดในสังคมระดับชาติก็เถอะ แต่การชุมนุมของนักเรียนอุดรพิทย์ก็ได้ “จุดประกาย” ความคิดให้กับสังคม ให้กับหลายภาคส่วนที่ยังไม่มีความกล้ามากพอ ได้ลงมือกระทำการเสี่ยง เพื่อท้าทายอำนาจและมุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
        ข่าวใหญ่ระดับประเทศของอุดรพิทย์ในครั้งนี้ เป็นต้นเหตุให้กลางเดือนกุมภาพันธ์ ได้เกิดการชุมนุมตามมาของนักเรียนถึง 2 โรงเรียนด้วยกันครับ คือ “โรงเรียนฝั่งแดงวิทยาสรรค์” (ฝ.ด.ว.) อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู และ “โรงเรียนนวมินทราชูทิศพายัพ” (น.ม.พ.) อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่



        การชุมนุมของนักเรียนโรงเรียนฝั่งแดงวิทยาสรรค์ ได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ หลังวันวาเลนไทน์ไปเพียงวันเดียว โดยในวันชุมนุมนั้นก็พอดีกับที่ทางโรงเรียนเป็นสถานที่ต้อนรับผู้ว่าราชการ จังหวัดในการออกตรวจเยี่ยมพื้นที่
        ในขณะที่มีการแนะนำหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ให้กับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านได้รับทราบ ก็ปรากฏว่ามีรถเครื่องขยายเสียงและนักเรียนจำนวนกว่า 300 คนได้เดินขบวนเข้ามาอีกทั้งส่งเสียงตะโกนร้องเพื่อขับไล่ผู้อำนวยการของ ฝ.ด.ว. ทำให้หัวหน้าส่วนราชการตลอดจนชาวบ้านตื่นตระหนกตกใจและสนใจปรากฏการณ์ที่ เข้ามานี้ว่าเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะป้ายต่าง ๆ ที่มีเนื้อหาเสียดสีรุนแรง เช่น “หุบปากแล้วเลิกด่า” เป็นต้น
        ตัวแทนนักเรียนได้กล่าวกับผู้ว่าราชการจังหวัดว่า สาเหตุที่นักเรียนของ ฝ.ด.ว. ต้องไล่ผู้อำนวยการในครั้งนี้ เนื่องจากขณะนี้โรงเรียนฝั่งแดงวิทยาสรรค์ได้เกิดมิคสัญญีขึ้นภายใน คณะครูเกิดความแตกแยกอย่างหนัก ผู้บริหารไร้คุณภาพ บริหารงานไม่โปร่งใส การศึกษาไม่ได้รับการสนับสนุน จนทำให้โรงเรียนตกต่ำในทุก ๆ ด้าน เก็บงบไปกินเอง ดื่มสุราในเวลาราชการ และมาทำงานน้อย ที่สำคัญเลยคือ ใช้คำพูดแทะโลมล่วงเกินนักเรียนหญิงเป็นประจำ เคยนำเรื่องเสนอต่อผู้บังคับบัญชาในระดับเขตแล้วแต่ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ เลย ซึ่งเหล่านี้ทั้งนักเรียนและครูรับไม่ได้ จึงต้องเดินขบวนเพื่อให้ผู้อำนวยการคนนี้ออกไปจากโรงเรียน ก่อนที่จะยื่นหนังสือร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งก็ได้ให้ปลัดจังหวัดรับหนังสือแทน จึงเป็นที่เสร็จสิ้น
        ข่าวนี้เป็นข่าวเล็ก ๆ ในสังคมหนองบัวลำภู ซึ่งมีเพียงสื่อภายในจังหวัดเท่านั้นที่นำเสนอข่าวนี้ โดยไม่มีสื่อกระแสหลักหรือสื่อของรัฐลงข่าวนี้เลย
        เหตุการณ์ของ ฝ.ด.ว. นี้ดูแล้วคล้าย ๆ กับการชุมนุมของนักเรียนโรงเรียนทองแสนขันวิทยา (ท.ข.) จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งที่ตั้งของโรงเรียนติดกับหอประชุมของอำเภอ และในวันนั้นได้มีการประชุมกำนันผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ภายในอำเภอ ก็พบว่านักเรียนของ ท.ข. ได้ชุมนุมจนก่อกวนการประชุมส่วนราชการจึงทำให้นายอำเภอได้เข้ารับทราบถึง ปัญหาของนักเรียนในที่สุด





        สำหรับอีกข่าวหนึ่ง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับโรงเรียนนวมินทราชูทิศพายัพ โดยโรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนในเครือข่ายนวมินทราชูทิศ 5 แห่งทุกภูมิภาค ซึ่งจะมีในกรุงเทพมหานคร อีสาน (มุกดาหาร) มัชฌิม (นครสวรรค์) ทักษิณ (สงขลา) และพายัพ (เชียงใหม่) ที่กำลังจะกล่าวถึงนี้
        โรงเรียนแห่งนี้จัดการเรียนการสอนมากว่าสิบปี อีกทั้งยังเป็นโรงเรียนมาตรฐานสากลอีกด้วย ก็ปรากฏว่ามีนายนิคม สินธุพงษ์ มาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน
        นายนิคม เข้ามาบริหารโรงเรียนได้พอสมควรก็ถูกกล่าวหาว่าบริหารงานไม่โปร่งใส เอื้อพวกพ้อง โดยในการจัดซื้ออุปกรณ์การเรียนครั้งต่าง ๆ ก็ซื้อเองทั้งหมดโดยไม่ต้องผ่านการประมูล แจกซองผ้าป่าแล้วบังคับให้ทำบุญโดยไม่ต่ำกว่า 500 บาท ก่อสร้างรั้วโรงเรียนใหม่ทั้ง ๆ ที่ยังใช้ได้อยู่ มีการเรียกเก็บเงินพิเศษเพื่อสร้างรั้วคนละ 1,000 บาท ทั้ง ๆ ที่ได้เรียกเก็บเงินระดมทรัพยากรไปแล้ว 2,000 บาท ทำให้ผู้ปกครองนักเรียนเดือดร้อน อีกทั้งนิสัยที่ชอบพูดจาหยาบคาย ขู่ ตะคอก แทะโลมนักเรียนหญิง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นักเรียนของ น.ม.พ. ทนไม่ได้อีกต่อไป
        ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2555 นักเรียนทั้งหมดไม่เข้าโรงเรียน อีกทั้งล็อกประตูไม่ให้ผู้ใดเข้าไป ก่อนที่จะเดินทางไปยังศาลากลางจังหวัด รวมกับอาจารย์และศิษย์เก่าเพื่อรอยื่นหนังสือให้กับทางจังหวัด มีการปราศรัยเป็นภาษาคำเมือง เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียน ด้วยความอัปยศอดสู นักเรียนบางคนพกตีนตบ หัวใจตบ ซึ่งแน่นอนละว่าเป็น “สัญลักษณ์” แทนคนเสื้อแดง นำมาประกอบการชุมนุมอีกด้วย
        หลังจากนั้นตัวแทนของจังหวัดได้รับหนังสือจากกลุ่มนักเรียน พร้อมทั้งมีการเจรจาเพื่อหาข้อสรุป จนได้รับข่าวดีคือ ให้นายนิคมไปช่วยราชการที่ สพม.เขตเป็นการชั่วคราว ทำให้นักเรียนสบายใจไปได้ระยะหนึ่ง และจะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการต่อไป

        ภาย ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีเหตุการณ์ในการปฏิวัตินักเรียนถึง 2 ครั้งด้วยกัน ในระยะเวลาเพียง 2-3 วันนี้ จึงเป็นนิมิตหมายอันดีที่จะปลุกความรักในสถาบันและผลประโยชน์ของส่วนรวมให้ เกิดขึ้นกับนักเรียนของอีกหลายท้องที่
        การชุมนุมของนักเรียนเพื่อเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครองในรอบปีนี้ได้เกิดขึ้น ถึง 3 ครั้งแล้ว ต่อไปนี้คงจะซาลงพอสมควรเพราะเวลานี้ก็จะทยอยปิดเทอมกันแล้ว นักเรียนต่างก็จะต้องสอบปลายภาคกันซึ่งก็ต้องทำให้เต็มที่ แต่ “สายลับ” ของผมก็จะทำงานตรวจสอบการทำงานของผู้บริหารโรงเรียนต่าง ๆ ต่อไป จะเม้ามอน Gossip ในวงนักเรียนของโรงเรียนต่าง ๆ เหมือนเดิม จนได้ความคิดต่าง ๆ ที่จะนำมาปรับปรุงพัฒนาการเมืองภาคเยาวชนให้เจริญขึ้น และน่าจะมีองค์กรการต่อสู้ของนักเรียนมัธยมเป็นจริงเป็นจัง ช่วยเหลือนักเรียนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของผู้บริหารในโรงเรียน คอยประสานกับภาครัฐในการช่วยเหลือ เยียวยาความเดือดร้อน รวมทั้งร่วมวางยุทธศาสตร์การศึกษาสายสามัญ ทั้งการเรียนการสอน การสอบแข่งขัน หรือในด้านสวัสดิการความเป็นอยู่ เพื่อให้ตรงกับความต้องการจริง ๆ มากที่สุด
        ขอให้พวกเราตั้งใจที่จะทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นจริง ๆ และช่วยกันป้องปรามภูตผีที่กำลังอาละวาดตามโรงเรียนต่าง ๆ ให้สิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นในโรงเรียนของพวกเราด้วย จะได้ไม่ต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ใน 3 โรงเรียน ดังที่ได้กล่าวมาแล้วครับ

        “If first you don’t succeed, try, try, try again !!”
        ถ้าครั้งแรกคุณทำไม่สำเร็จ จงพยายาม พยายาม และ “พยายาม” อีกครั้ง !!

21 กุมภาพันธ์ 2555

“ฝั่งแดงวิทยาสรรค์” (กลอนสุภาพ)

        นี่คือถิ่นศึกษาแห่งนากลาง        อยู่ในทางเมืองพ่อนเรศวร
พระเจดีย์ตีตราค่าสมควร                 นี่ละล้วนชูค่าสถาบัน
        ชื่อสถานศึกษาประสาทสิทธิ์            คือฝั่งแดงวิทยาสรรค์
คนฝั่งแดงรับศึกษามาสัมพันธ์                  ด้วยสำคัญเรียนไปให้ได้ดี
        ผลิตศิษย์น้ำดีมีทุกรุ่น                    สมานรักในบุญคุณเป็นศรี
ในนครหนองบัวลำภูนี้                            สามัคคีมีวินัยน้ำใจงาม
        ศิษยาฝั่งแดงตั้งแจ้งมั่น                   เป็นสำคัญป้องกันใครคิดหยาม
เลือดฝั่งแดงจะไหลให้เป็นทาน                  กระเซ็นซ่านพลีชีพสู้ปัจจา
        มาวันนี้อมิตรในร่างผู้                     ปกครองครูประมุขถิ่นศึกษา
อำนวยการความคิดวิทยา                        กลายเป็นผู้พาลาในหมู่ชน
        บริหารการเงินไม่โปร่งใส                 พูดลามกจัญไรไปทุกหน
ดุและด่าย่อยยับสัปดน                             นักเรียนเลยสุดทนจึงออกมา
        สิบห้ากุมภาผ่านมานี้                      คือฤกษ์ดีวันนี้มีผู้ว่า
ได้ออกเยี่ยมปวงชนชาวประชา                   เหล่านักเรียนจึงมาส่งสำแดง
        ประกาศขับไล่ให้รับรู้                      โชว์ผู้ว่าท่านดูอย่างขันแข็ง
ด้วยจิตแท้แน่ใจไม่รุนแรง                          ทุกหนแห่งต่างดูแล้วรู้กัน
        ประกาศศักดิ์ศรีชาวฝั่งแดง                สัจจานั้นแจ้งและแข็งขัน
ก่อนฝั่งแดงเป็นไฟบรรลัยกัลป์                    กระเทือนลั่นนากลางอย่างร้อนรน
        ฝ.ด.ว. จงสู้อย่างรู้คิด                      ชื่อจงสถิตสถาผล
จงสำเร็จโดยดีทั่วทุกคน                           ขับไล่มารให้พ้นรั้วฝั่งแดง
        ฝ.ด.ว. ชื่อจึงจะลือไกล                     เบ่งบานลือไปในทุกแห่ง
หากปัจจามิตรมาขยายแย้ง                       คนฝั่งแดงจงพ้นซึ่งโพยภัย
        หน้าเกียรติประวัติขจัดชั่ว          รู้ไปทั่วนากลางต่างขานไข
ให้เขารู้ฝั่งแดงนั้นเกรียงไกร                คู่ชาติไทยสถาพรขจรเทอญ

20 กุมภาพันธ์ 2555

“นวมินทร์ฯ พายัพ” (กลอนสุภาพ)

        ถิ่นนี้คือสีน้ำเงินเหลือง               งามประเทืองสดศรีที่เชียงใหม่
แห่งอำเภอแม่ริมให้เกรียงไกร               พระราชทานนามไว้คู่ดินฟ้า
        ชื่อนวมินทราชูทิศ                        ชื่อสถิตพายัพนั้นคู่หล้า
เป็นโรงเรียนในหลวงประทานมา               เป็นหนึ่งในสาขาของห้าเมือง
        น.ม.พ. ชื่อย่อเอกลักษณ์                  น้ำเงินเหลืองประจักษ์ให้ลือเลื่อง
มหาพิชัยมงกุฎสุดประเทือง                     ชนย่างเยื้องภูมิใจที่ได้มา
        ศิษยานวมินทร์นั้นรู้แจ้ง                  สมกับแหล่งการเรียนเพียรศึกษา
มีวินัยน้ำใจนักกีฬา                                พัฒนาปัญญาให้ก้าวไกล
        รุ่งเรืองกันมากว่าสิบปี                    ถึงวันนี้อนาคตหมดสดใส
ผู้ปกครองเข้ามาไม่ทันไร                         เหล่านักเรียนรับไม่ได้ก็แล้วกัน
        โกงกินสิ้นจนไม่สนใจ                      คำติจากใครไม่หุนหัน
ปากสุนัขตักตวงสารพัน                           มิได้กลั่นจากใจส่วนที่ดี
        ทำตัวลามกให้ตกอับ                      เป็นคนสับปลับรู้ทุกที่
กดหัวนักเรียนหญิงด้วยวจี                        เหยียดหยามนารีเสื่อมศักดา
        ขู่ตะคอกดุด่าว่ารุนแรง                    ชอบพูดเสียดแทงว่าปากหมา
นักเรียนลงปลงใจไม่นำพา                        ชังน้ำหน้าอดทนจนวันนี้
        สิบเจ็ดกุมภาไม่จำทน                      เหล่านักเรียนทุกคนล้วนเต็มที่
ประกาศตัดไส้หมดไมตรี                           รู้กันวันนี้เป็นต้นไป
        กว่าพันนั่งหน้าศาลากลาง                  สำแดงแรงอย่างไม่หวั่นไหว
กระเทือนบัลลังก์ให้ลอยไกล                        อย่าอาศัยตำแหน่งแย่งงบกิน
        นวมินทร์ฯ พายัพจงรับรู้                    พวกเราดูช่วยอยู่ไม่จบสิ้น
จนกว่าจะสดใสไร้ราคิน                              แข็งเป็นหินภูผาอย่ากลัวใคร
        ให้ถิ่นนี้อยู่คู่บารมี                            เป็นศักดิ์ศรีคู่เคียงเมืองเชียงใหม่
ดำรงเกียรติศักดิ์ขจรไกล                       คู่ชาติไทยมิผันนิรันดร์กาล

20 กุมภาพันธ์ 2555

"วาเลนไทน์" และความเป็นห่วงที่เราไม่ต้องการ


        พอเข้าเทศกาลวันวาเลนไทน์ทีไร ไม่ว่าจะปีไหนก็ตามทีเถอะ เรา ๆ ท่าน ๆ ก็จะได้พบบรรดาคำแนะนำ คำตักเตือน ที่แสดงถึงความเป็นห่วงของบรรดาผู้ใหญ่ที่เกรงว่าเยาวชนจะได้รับผลกระทบจาก วันดังกล่าวเป็นอย่างมาก จึงทำให้เห็นคำพวกนี้ออกตามสื่อสารมวลชน Social Media หรือพูดกันแบบปากต่อปาก เกลื่อนกลาดจนกระทั่งรกรุงรังไปหมด
        ผู้ใหญ่ที่มีหัวไปในทาง Conservative หรืออนุรักษ์นิยมจ๋าก็จะดาหน้าออกมาห้าม ด่าทอ คัดค้านต่อต้านวันวาเลนไทน์ โดยความคิดที่ว่าวันดังกล่าวจะทำให้เกิดการเสียตัวของผู้หญิงเป็นจำนวนมาก หรือไม่ก็อาจจะเกินเลยทำให้ “ท้อง” ขึ้นมา
         เราอาจจะเห็นได้ง่ายที่สุดนั่นก็คือ พ่อแม่ของเรานั่นเอง ที่พอใกล้หน้านี้ทีไรก็จะคอยถามว่า มีแฟนหรือเปล่า แล้วคำแสดงความเป็นห่วงก็จะพรั่งพรูออกมาจากปาก ถามว่าความเป็นห่วงของพ่อแม่ที่มีให้ต่อเราผิดไหม ไม่ผิดครับ
        แต่คำพูดแบบนี้มันเป็นคำพูดแบบดาด ๆ ไม่ Make Sense อะไรเลย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้บุตรหลานเบื่อหน่ายจนในที่สุดก็ “เหม็นขี้หน้า” ผู้ปกครองตัวเอง (ซะงั้น)


        ถ้าผมไม่มีความรู้สึกว่าอยู่ในสังคมที่แท้จริง แล้วก็ถูกสื่อกระแสหลักครอบงำด้านวัฒนธรรมจนกลายเป็น Conservative ข้อเขียนในลักษณะท้าทายสังคมของผมคงไม่ออกมาสลอนในเฟซบุ๊คตั้งแต่ปีที่แล้วหรอกครับ
        แต่ผมได้เห็นค่านิยมต่าง ๆ ของชนชั้นกลางที่ “อรรถ บุนนาค” ยกคำมาเปรียบได้ “แซ่บเว่อร์” ว่า “ศีลธรรมระดับกระแดะ” ผมจึงสงสัยและต้องตั้งคำถามขึ้นมาเพื่อให้รู้ว่ามันเกิดอุดมการณ์หรือ มายาคติในเรื่องนั้น ๆ อย่างไรบ้าง

        ก็ปรากฏ ขาประจำเจ้าเก่า ผู้ที่มีผลงาน (ในทางปกป้องศีลธรรม ประเพณีวัฒนธรรมไทยอันดีงาม ?) โชกโชน นั่นคือ ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม แห่งกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งมี ลัดดา ตั้งสุภาชัย เป็นผู้อำนวยการ ซึ่งควันไฟเพิ่งจางจากกรณี “ซิมซิมิ” ที่ออกมาแบน คัดค้าน ต่อต้าน เนื่องด้วยเห็นว่าใช้คำไม่สุภาพ จนเยาวชนพากันจวกยับเยินว่า “คุณเป็นใคร จะมาเฝ้าระวังแทนทำไม พ่อแม่ก็ไม่ใช่”

        คือ เยาวชนก็ไม่ได้โง่อย่างที่คุณชอบคิดนะครับ เขาก็มีแนวคิดเป็นของตัวเอง เขาก็พอที่จะรู้ว่าผิดชอบชั่วดีเป็นยังไง ไม่ใช่เด็กผู้หญิงทุกคนจะใจแตกกันหมด จะปล่อยตัวเองท้องไม่มีพ่อรับผิดชอบกันซะหมด ทำเหมือนเด็ก ๆ เขาโดนควักมันสมองสองกลีบออกไปหมด
        ขอโทษ...มันเป็นการ “ดูถูก” สิทธิเสรีภาพของมนุษย์นะครับ
        ปรากฏว่าศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรมก็พยายามทำตัวเองให้ “เหนือ” คนอื่น อยู่เรื่อย พอไฟเริ่มไหม้ฟางจนหมดเพลิง ก็เริ่มราดน้ำมันลงบนกองไฟอีกแทบไม่ต้องให้หยุดพัก ล่าสุด ก็มีการออกคำเตือนผู้ปกครอง ไม่ให้ปล่อยบุตรหลานออกนอกบ้านเกินสี่ทุ่มในวันวาเลนไทน์ นั่นคือ ต้องกลับบ้านก่อนสี่ทุ่มนั่นเอง
        ก็ปรากฏรายการใหม่ของ Voice TV ชื่อว่า “Divas Café” ซึ่งแน่นอนว่าถ้าไม่มี คำ ผกา หรือ ลักขณา ปันวิชัย นักประวัติศาสตร์นิพนธ์และนักเขียนไฟแรงร้อนเร่าคนนี้คงไม่มีเรตติ้งพุ่งกระฉูดกันอย่างแน่นอน
        ในการจัดรายการเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา คำ ผกา ก็ จัดเต็ม กระทรวงวัฒนธรรมอย่าง แซ่บเว่อร์ เหมือนเช่นเคย โดยควักเอามโนสันดานแบบอนุรักษ์นิยมตกขอบมาประจานให้เสรีชนรับรู้รับทราบ ดังที่ได้พูดในรายการดังนี้
        ...กระทรวง วัฒนธรรมของไทยกลัวและเกลียดวันวาเลนไทน์มาก กลัวว่าม่านรูดจะเต็ม กลัวเด็กจะไปเอากันในวันวาเลนไทน์ กลัวจะมีการติดเอดส์การท้องก่อนแต่งในวันนี้อย่างมากมายมหาศาล...เอ่อ กระทรวงวัฒนธรรมคะ เค้าเอากันวันวาเลนไทน์เนี่ยดีกว่าไปเอากันวันมาฆบูชานะคะ หรือมันเอากันปีละวันก็ดีกว่าเอากันปีละ 364 วันนะคะ...

        จัด ได้แรงเหมือนเดิม
        แซ่บเว่อร์ ตามสไตล์ คำ ผกา
        คือ อย่างน้อยเราก็จะเห็นว่าผู้ใหญ่หมกมุ่นอยู่กับการห้าม การค้าน เหมือนกับจะคิดแทนเด็กไปทุกอย่างซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะควร แล้วโดยเฉพาะบุคคลในศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรมหารู้ไม่ว่าท่านกำลัง “ฝืน” ใจตัวเองโดยไม่รู้สึกว่าตัวเอง “ฝืน”
        ท่านคงลืมชีวิตในวัยเด็กไปนะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ถ้าจะยืนยันว่าในวัยเด็กมันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ คงจะพิลึกพิลั่นอย่างพิกล
        แล้วผลงานของศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรมแทบทุกสิ่งก็เป็นสิ่งที่ค้านสังคมมาก ซึ่งเราจะเห็นแนวคิดที่จะเป็นไปในทางอนุรักษ์นิยมอย่างชัดเจน เปลี่ยนไม่ได้ ดัดแปลงไม่ได้ ประยุกต์ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ในบริบทของความหมายคำว่า “วัฒนธรรม” แม้แต่จะให้แปลจากภาษาบาลีสันสกฤตแท้ ๆ ก็มีความแตกต่างกับที่ท่านกำลังคิดอย่างมาก
        คือ คำว่า “วัฒนธรรม” มันเป็นคำที่สมาสกันระหว่าง “วัฒน” กับ “ธรรม” ซึ่งเป็นสันสกฤตทั้งคู่ โดยคำว่าวัฒนก็คือ ความเจริญงอกงาม พัฒนา ดัดแปลง ประยุกต์ ประกอบกับคำว่าธรรมนั่นก็คือความเป็นไปต่าง ๆ อาจจะเป็นสัจธรรม (ความจริง) จริยธรรม (ความดี) หรือบัญญัติธรรม (หลักสมมติที่กำหนดไว้ให้สังคมปฏิบัติ เช่น ประเทศไทยกำหนดให้ขับรถทางซ้าย) เป็นต้น
        แค่นี้เราสามารถสรุปได้เลยว่าวัฒนธรรมต้องมีการเปลี่ยนแปลง พัฒนา มันจะย่ำอยู่กับที่ไม่ได้ แต่ที่ผ่านมาเราเข้าใจคำว่า “วัฒนธรรม” ผิดโดยตลอด โดยเราจะเอามารวมมั่วไปหมดกับประเพณี ขนบธรรมเนียม ทั้ง ๆ ที่มันเป็นคนละระดับกัน เหมือนจะให้เทียบกับหน่วยงานทางปกครอง “วัฒนธรรม” มีฐานะเป็นกระทรวง ส่วนประเพณี ขนบธรรมเนียมและอื่น ๆ อะไรต่อมิอะไรมันเป็นสับย่อยของวัฒนธรรม จึงมีฐานะเป็นกรม
        จึงไม่เห็นอะไรที่จะไปลงตัวกับแนวคิดกับผู้ใหญ่หัวหงอกที่มีความคิดแบบอนุรักษ์นิยมอย่างแรงกล้าได้เลย
        บางคนอาจจะมีความหวังดีว่า แหม ถ้าไม่ถูกต้องเราก็ไปอธิบายให้เขาเข้าใจสิว่าปัจจุบันมันเป็นอย่างไรกันแล้ว ผมว่าทำแบบนี้คงไม่ได้ผลหรอกครับ เพราะมันไปเข้าสำนวนไทยที่ว่า “ไม้แก่ดัดยาก” ซะแล้ว
        หัวสมองแบบนี้คงเปลี่ยนอะไรง่าย ๆ อยู่หรอก เว้นแต่ผู้ใหญ่พวกนี้ (โดยเฉพาะผู้ชาย) จะหัวงูเอา

        เด็กสมัยนี้ไม่ได้โง่เหมือนที่พวกคุณคิดกันอีกแล้วครับ
        ผมเดินไปตามสถานศึกษาต่าง ๆ พบเด็กผู้หญิงหลายคนทำท่าทำทางกระแดะ แรด เข้าใจได้เลยว่า “เคย” แล้ว แต่ถามว่าเด็กผู้หญิงเหล่านี้ “ผิดไหม”
        ผมจะบอกว่าเด็กผู้หญิงเหล่านี้ผิดได้ยังไง เพราะถึงแม้จะโดนเอามาก่อน แต่ก็รู้จักป้องกันระวังตัว ไม่ให้เกิดท้องขึ้นมาได้ เว้นแต่บางคนจะ “เพลิน” มากเกินไปจนไม่รู้ตัวเท่านั้น แต่ก็มีจำนวนน้อย
        แต่อยากจะบอกผู้ใหญ่หัวหงอกหัวดำที่วัน ๆ เอาแต่เป็นห่วงจนลืมหน้าที่อื่น ๆ ที่ตัวเองควรจะหันไปทำบ้างว่า เป็นห่วงน้อย ๆ บ้างก็ได้ครับ เด็กสมัยนี้ไม่ได้โง่เหมือนสมัยก่อนแล้ว เขาก็มีวิธีการป้องกันของเขา ไม่ใช่นิสัยสมัยก่อนซึ่งปัจจุบันจะหาได้จากละครน้ำเน่าซึ่งในที่สุดแล้วก็ ยังคงค่านิยมเก่า ๆ วัฒนธรรมเก่า ๆ จนห่างไกลจากความเป็นจริงไปทุกที ๆ (ก็คงจะมีแต่เรยาเท่านั้นที่กล้าฉีกแนวจนโดนผู้ใหญ่พวกนี้แหละจวกหนัก เพราะเรยาไม่ยอมเดินตามระบบระเบียบแบบแผน อุดมการณ์หรืออุดมคติของละครน้ำเน่า ซึ่งจำง่าย ๆ ว่า พระเอกต้องเป็นสุภาพบุรุษ พระเอกกับนางเอกเจอกันทีแรกต้องเดินชนกัน แล้วก็ชอบทะเลาะกัน พระเอกข่มขืนนางเอกแต่นางเอกกลับยอมพระเอก เป็นต้น)

        เพราะฉะนั้น วันวาเลนไทน์นี้ บรรดาผู้ใหญ่ในศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรมควรจะเอาพละกำลังที่ตัวเองมี ไปสำรวจหนังหน้าตัวเองว่ายังพอเข้าสังคมปัจจุบันได้หรือไม่ ซึ่งถ้าเข้ากันไม่ได้ก็อย่าดันทุรัง ปล่อยให้วัฒนธรรมมันพัฒนาของมันเองดีกว่า ส่วนตัวเองก็อยากจะทำอะไรในบั้นปลายชีวิตก็เชิญ เลี้ยงหลานอยู่บ้าน ฟังเพลงสุนทราภรณ์ มีงานก็ออกไปลีลาศ ก็แล้วแต่ ไม่ใช่มานั่งกัดจิก ขัดขวางไม่ให้วัฒนธรรมมันเติบโต
        ผิดทั้ง ความหมาย และผิดทั้ง เจตนารมณ์
        ผิดสองต่อ !!

13 กุมภาพันธ์ 2555