วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

บุคคลน่าถีบ ! (กลอนสุภาพ)

        วาเลนไทน์จบลงด้วยความเหงา       กูยิ่งเศร้าเหมือนเดิมเติมความเจ็บ
ใครก็ต่างเข้ามาเถือกรีดเล็บ                    เหมือนจะเก็บอนุสรณ์ตอนสุดท้าย
        เหมือนไม่มีใครรักแน่นักแล             เหมือนไม่มีใครแลน่าใจหาย
เหมือนต้องอยู่โดดเดี่ยวแล้วเดียวดาย         แถมถูกป้ายสีเอาชำเรากัน
        ไม่เป็นไรหาใหม่ก็ได้วะ                 คงมีคนที่จะไม่ขำขัน
คงเป็นสาวยังรักพรหมจรรย์                    มอบใจให้ฉันทั้งกายไว้
        ยังต้องย้อนคดีความแต่เก่าก่อน        ที่ตามมาหลอกหลอนอีกพักใหญ่
ไม่นึกก็ขึ้นหน้าอีจัญไร                           มองไม่เห็นหัวไหล่โคตรแม่มึง
        ยังโทรกวนบาทาบ้าเห่อผัว              มึงจะมั่วยังไงคิดไม่ถึง
เป็นขนมคนกินก็อื้ออึง                           แม่งจะแข่งแย่งดึงกันแดกเอา
        นิสัยเหี้ยเลียปากทำนายได้              ชอบไปแย่งหัวใจชาวบ้านเขา
เรื่องเมียผัวอีนี่ไม่เคยเบา                        แม้แต่น้องจ๊ะเขาก็ยังยอม
        วันนี้มีเย้ยว่าเลิกเหรอ                    ก็ตอบบอกว่าเออไม่เพ้ออ้อม
มึงน่ะสิแมลงวันมันยังตอม                       ก็ลองนึกว่าจะดอมดอกอะไร
        อย่ามาเพ้อใกล้อยู่เดี๋ยวกูถีบ              กูไม่รีบทำหรอกโอกาสให้
วิจารณญาณมีทำไม                               ก็มีให้คนใช้พิจารณ์ดู
        ปากอย่ามาสะเออะเขย่งเท่า             ทำท่าเกาน้องจ๊ะเหมือนคันหู
กูรำคาญไปไกล ๆ ส้นตีนกู                       กูไม่อยากจะรู้ชีวิตมึง
        ปากว่าตาขยิบกูละเกลียด                มันโคตรเสียดใจกูรู้ไม่ถึง
คงเป็นกรรมเก่าที่รัดรึง                           จะไปพึ่งพระไหนไม่ลบล้าง
        ยังหยิกเล็บเจ็บเนื้อเถือผิวหนัง           เหมือนฝากฝังรอยแค้นทุกสิ่งอย่าง
เอาให้เจ็บปวดแสบแทบทุกทาง                มึงมันไร้ซึ่งยางแห่งความอาย
        เห็นกูครวญสนุกนักใช่ไหม               กูคล้ายทาสมึงเป็นไทอีฉิบหาย
มึงขี่กูรู้กันว่านั่นควาย                             เขาล้อกันให้ตายว่าโง่งม
        กูสลัดซึ่งพันธนาการ                       ซึ่งตรึงติดมานานได้สุขสม
ออกจากทุกข์กลายเป็นสุขอภิรมย์                ไม่ต้องทนดอมดมแต่ก้านไม้
        ถึงเป็นดอกก็คงบอกอีดอกทอง           มิได้ต้องสิ่งดีที่อาศัย
เป็นดอกไม้ว่าแต่เป็นของใคร                     ทำงามไส้งามหน้าทั่วธานี
        อย่าให้กูขึ้นอีกระลอก                       จะเอาหอกฟาดให้กลายเป็นผี
จะไม่ตัดให้ตายในทันที                             ให้เห็นเลือดบัดสีมันไหลลง
        อุ๊ยตาย ! ไม่ได้สิเกือบไป                    คิดได้ไม่ให้เสียประสงค์
ต้องเอาก้านใบตองรองให้คง                       เอาตัวมันวางลงส่งนรก
        เลือดชั่ว ๆ จะไม่ลงทั่วแผ่นดิน             ให้เสียศักดิ์ท้องถิ่นสกปรก
ให้มันเป็นราคินต้องยอมยก                        ให้หมู่นกแร้งกามันมากิน
        แต่เชื่อว่าตัวมึงทั้งเลือดเนื้อ                 คงจะเหลือบริบูรณ์ไม่สูญสิ้น
ไม่มีแหวะแคะแหว่งเพียงเศษดิน                  คงไม่วิ่นสักชิ้นแม้หนึ่งเดียว
        จะทำยังไงกับมึงดี                           หมดสิ้นสักทีไม่มีเสียว
ตัดปัญหาตรง ๆ ไม่ลงเลี้ยว                        จะไม่ต้องเที่ยวหาลำบากกาย
        หักซิมที่มึงให้ทิ้งไปเสีย                     อดีตเมียแค่นี้ไม่เสียหาย
ต้องลบลืมอีหน้ามารสันดานควาย                ไม่เสียดายเพราะตังค์ก็ของมึง
        เลิกแล้วอย่าหันหน้ามาหากู                และอย่ามาขู่ให้รู้ถึง
ในสันดานกะหรี่ที่รัดรึง                             วิญญูชนก็พึงจะหลีกพ้น
        นิสัยไม่เกี่ยวกับพ่อแม่                       เพียงแต่ทำเองตั้งแต่ต้น
เอาปากเน่าเป่าน้ำทำเป็นมนต์                     สักกี่คนเจอไปไม่เอาการ
        เจอมึงเหมือนขับรถไปชนเหว              มึงมันเลวกว่ารัฐประหาร
มึงสุดยอดบัดสีอีสันดาน                           สุดรำคาญออกไปไม่ต้องมา
        แม้มึงยังจะมาใกล้ ๆ                       จะถีบมึงออกไปไม่ต้องหา
แม้มึงยังยั่วยวนนานา                              กูจะคว้าส้นตีนเขวี้ยงใส่มึง
        อะไร ๆ ก็ทำได้                             ไม่แคร์ใครทำไมกูใจถึง
ก็มึงเคยทำอะไรตามใจมึง                         กูจะทำสักครึ่งหนึ่งก็พอใจ
        นี่ละธาตุแท้ของตัวกู                        อย่ามาอดสูน้ำตาไหล
ที่เจ็บก็เพราะสันดานใคร                          อย่าให้กูจัญไรไปอีกคน
        ถ้ามึงมาอีกทีจะถีบรอ                      ไม่พาส่งหาหมอเลยซักหน
ค่ารักษาไม่มีกูมันจน                                แต่ดอกต้นที่เกินต้องจ่ายกู
        คิดบัญชีแค้นไม่เคยสาย                    มึงอย่าลืมจ่ายไม่ต้องขู่
อย่ามาทำเป็นเหี้ยตบเมียกู                        กลับไปอยู่ในรูดีกว่ามั้ย ?
        หมดรึยังมุขกากที่อยากเล่น                ถ้าหมดแล้วก็เผ่นอยากไปไหน
มึงรีบคิดแล้วก็ดีดไปให้ไกล                           ก่อนจะโดนใครต่อใครรุมตีนเอา
        ฝากจองส้นตีนใบหน้า                       จองตรงปากดีกว่าคนอื่นเขา
กูจะได้กระทืบถูกลำเนา                            เผื่อจะมีหมาเน่าหลุดออกมา
        สมที่เขาว่ากันจริง ๆ                        มึงเป็นผู้หญิงที่ใจหมา
น่าถีบให้ถึงซึ่งดวงตา                               ให้ไม่มีไว้มองหน้าผู้ชาย
        ถ้าพ่อแม่หมดหวังตัวในตัวมึง              ก็คงถึงเวลาจะฉิบหาย
ใครต่อใครก็ย่อมจะทำนาย                           มันจะตายเพราะผู้ชายจะถีบมัน             
        ไปดีเถอะมึงถึงคราวตาย            เถอะอีฉิบหายไม่ขายฝัน
รอดูตอนสุดท้ายก็แล้วกัน                    ถ้ามึงยังเห็นทัน...เจอตีนกู !!

23 กุมภาพันธ์ 2555

“อุดรพิทย์” จุดประกายการต่อสู้แบบ “โดมิโน” “ฝั่งแดงวิทย์-นวมินทร์ฯ พายัพ” แท็กทีมไล่ ผอ.


        เป็นความช่างคิดของมนุษย์เสียจริง ๆ ครับที่มีคนนำคลิปการชุมนุมเพื่อไล่ผู้อำนวยการของนักเรียนโรงเรียนอุดร พิทยานุกูล จังหวัดอุดรธานี ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว กับของโรงเรียนเขาวงพิทยาคาร จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อปี 2553 มาเปรียบเทียบกันถึงความมันและความแรงที่เกิดขึ้น ผมว่ามันก็ดีเหมือนกันครับ จะได้รวมเรื่องไว้เพื่อนำข้อมูลเสนอสู่สังคมว่ากระบวนการทางประชาธิปไตยยัง ดำรงอยู่ในสังคม
        ถึงแม้จะไม่ค่อยชัดในสังคมระดับชาติก็เถอะ แต่การชุมนุมของนักเรียนอุดรพิทย์ก็ได้ “จุดประกาย” ความคิดให้กับสังคม ให้กับหลายภาคส่วนที่ยังไม่มีความกล้ามากพอ ได้ลงมือกระทำการเสี่ยง เพื่อท้าทายอำนาจและมุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
        ข่าวใหญ่ระดับประเทศของอุดรพิทย์ในครั้งนี้ เป็นต้นเหตุให้กลางเดือนกุมภาพันธ์ ได้เกิดการชุมนุมตามมาของนักเรียนถึง 2 โรงเรียนด้วยกันครับ คือ “โรงเรียนฝั่งแดงวิทยาสรรค์” (ฝ.ด.ว.) อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู และ “โรงเรียนนวมินทราชูทิศพายัพ” (น.ม.พ.) อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่



        การชุมนุมของนักเรียนโรงเรียนฝั่งแดงวิทยาสรรค์ ได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ หลังวันวาเลนไทน์ไปเพียงวันเดียว โดยในวันชุมนุมนั้นก็พอดีกับที่ทางโรงเรียนเป็นสถานที่ต้อนรับผู้ว่าราชการ จังหวัดในการออกตรวจเยี่ยมพื้นที่
        ในขณะที่มีการแนะนำหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ให้กับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านได้รับทราบ ก็ปรากฏว่ามีรถเครื่องขยายเสียงและนักเรียนจำนวนกว่า 300 คนได้เดินขบวนเข้ามาอีกทั้งส่งเสียงตะโกนร้องเพื่อขับไล่ผู้อำนวยการของ ฝ.ด.ว. ทำให้หัวหน้าส่วนราชการตลอดจนชาวบ้านตื่นตระหนกตกใจและสนใจปรากฏการณ์ที่ เข้ามานี้ว่าเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะป้ายต่าง ๆ ที่มีเนื้อหาเสียดสีรุนแรง เช่น “หุบปากแล้วเลิกด่า” เป็นต้น
        ตัวแทนนักเรียนได้กล่าวกับผู้ว่าราชการจังหวัดว่า สาเหตุที่นักเรียนของ ฝ.ด.ว. ต้องไล่ผู้อำนวยการในครั้งนี้ เนื่องจากขณะนี้โรงเรียนฝั่งแดงวิทยาสรรค์ได้เกิดมิคสัญญีขึ้นภายใน คณะครูเกิดความแตกแยกอย่างหนัก ผู้บริหารไร้คุณภาพ บริหารงานไม่โปร่งใส การศึกษาไม่ได้รับการสนับสนุน จนทำให้โรงเรียนตกต่ำในทุก ๆ ด้าน เก็บงบไปกินเอง ดื่มสุราในเวลาราชการ และมาทำงานน้อย ที่สำคัญเลยคือ ใช้คำพูดแทะโลมล่วงเกินนักเรียนหญิงเป็นประจำ เคยนำเรื่องเสนอต่อผู้บังคับบัญชาในระดับเขตแล้วแต่ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ เลย ซึ่งเหล่านี้ทั้งนักเรียนและครูรับไม่ได้ จึงต้องเดินขบวนเพื่อให้ผู้อำนวยการคนนี้ออกไปจากโรงเรียน ก่อนที่จะยื่นหนังสือร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งก็ได้ให้ปลัดจังหวัดรับหนังสือแทน จึงเป็นที่เสร็จสิ้น
        ข่าวนี้เป็นข่าวเล็ก ๆ ในสังคมหนองบัวลำภู ซึ่งมีเพียงสื่อภายในจังหวัดเท่านั้นที่นำเสนอข่าวนี้ โดยไม่มีสื่อกระแสหลักหรือสื่อของรัฐลงข่าวนี้เลย
        เหตุการณ์ของ ฝ.ด.ว. นี้ดูแล้วคล้าย ๆ กับการชุมนุมของนักเรียนโรงเรียนทองแสนขันวิทยา (ท.ข.) จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งที่ตั้งของโรงเรียนติดกับหอประชุมของอำเภอ และในวันนั้นได้มีการประชุมกำนันผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ภายในอำเภอ ก็พบว่านักเรียนของ ท.ข. ได้ชุมนุมจนก่อกวนการประชุมส่วนราชการจึงทำให้นายอำเภอได้เข้ารับทราบถึง ปัญหาของนักเรียนในที่สุด





        สำหรับอีกข่าวหนึ่ง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับโรงเรียนนวมินทราชูทิศพายัพ โดยโรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนในเครือข่ายนวมินทราชูทิศ 5 แห่งทุกภูมิภาค ซึ่งจะมีในกรุงเทพมหานคร อีสาน (มุกดาหาร) มัชฌิม (นครสวรรค์) ทักษิณ (สงขลา) และพายัพ (เชียงใหม่) ที่กำลังจะกล่าวถึงนี้
        โรงเรียนแห่งนี้จัดการเรียนการสอนมากว่าสิบปี อีกทั้งยังเป็นโรงเรียนมาตรฐานสากลอีกด้วย ก็ปรากฏว่ามีนายนิคม สินธุพงษ์ มาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน
        นายนิคม เข้ามาบริหารโรงเรียนได้พอสมควรก็ถูกกล่าวหาว่าบริหารงานไม่โปร่งใส เอื้อพวกพ้อง โดยในการจัดซื้ออุปกรณ์การเรียนครั้งต่าง ๆ ก็ซื้อเองทั้งหมดโดยไม่ต้องผ่านการประมูล แจกซองผ้าป่าแล้วบังคับให้ทำบุญโดยไม่ต่ำกว่า 500 บาท ก่อสร้างรั้วโรงเรียนใหม่ทั้ง ๆ ที่ยังใช้ได้อยู่ มีการเรียกเก็บเงินพิเศษเพื่อสร้างรั้วคนละ 1,000 บาท ทั้ง ๆ ที่ได้เรียกเก็บเงินระดมทรัพยากรไปแล้ว 2,000 บาท ทำให้ผู้ปกครองนักเรียนเดือดร้อน อีกทั้งนิสัยที่ชอบพูดจาหยาบคาย ขู่ ตะคอก แทะโลมนักเรียนหญิง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นักเรียนของ น.ม.พ. ทนไม่ได้อีกต่อไป
        ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2555 นักเรียนทั้งหมดไม่เข้าโรงเรียน อีกทั้งล็อกประตูไม่ให้ผู้ใดเข้าไป ก่อนที่จะเดินทางไปยังศาลากลางจังหวัด รวมกับอาจารย์และศิษย์เก่าเพื่อรอยื่นหนังสือให้กับทางจังหวัด มีการปราศรัยเป็นภาษาคำเมือง เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียน ด้วยความอัปยศอดสู นักเรียนบางคนพกตีนตบ หัวใจตบ ซึ่งแน่นอนละว่าเป็น “สัญลักษณ์” แทนคนเสื้อแดง นำมาประกอบการชุมนุมอีกด้วย
        หลังจากนั้นตัวแทนของจังหวัดได้รับหนังสือจากกลุ่มนักเรียน พร้อมทั้งมีการเจรจาเพื่อหาข้อสรุป จนได้รับข่าวดีคือ ให้นายนิคมไปช่วยราชการที่ สพม.เขตเป็นการชั่วคราว ทำให้นักเรียนสบายใจไปได้ระยะหนึ่ง และจะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการต่อไป

        ภาย ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีเหตุการณ์ในการปฏิวัตินักเรียนถึง 2 ครั้งด้วยกัน ในระยะเวลาเพียง 2-3 วันนี้ จึงเป็นนิมิตหมายอันดีที่จะปลุกความรักในสถาบันและผลประโยชน์ของส่วนรวมให้ เกิดขึ้นกับนักเรียนของอีกหลายท้องที่
        การชุมนุมของนักเรียนเพื่อเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครองในรอบปีนี้ได้เกิดขึ้น ถึง 3 ครั้งแล้ว ต่อไปนี้คงจะซาลงพอสมควรเพราะเวลานี้ก็จะทยอยปิดเทอมกันแล้ว นักเรียนต่างก็จะต้องสอบปลายภาคกันซึ่งก็ต้องทำให้เต็มที่ แต่ “สายลับ” ของผมก็จะทำงานตรวจสอบการทำงานของผู้บริหารโรงเรียนต่าง ๆ ต่อไป จะเม้ามอน Gossip ในวงนักเรียนของโรงเรียนต่าง ๆ เหมือนเดิม จนได้ความคิดต่าง ๆ ที่จะนำมาปรับปรุงพัฒนาการเมืองภาคเยาวชนให้เจริญขึ้น และน่าจะมีองค์กรการต่อสู้ของนักเรียนมัธยมเป็นจริงเป็นจัง ช่วยเหลือนักเรียนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของผู้บริหารในโรงเรียน คอยประสานกับภาครัฐในการช่วยเหลือ เยียวยาความเดือดร้อน รวมทั้งร่วมวางยุทธศาสตร์การศึกษาสายสามัญ ทั้งการเรียนการสอน การสอบแข่งขัน หรือในด้านสวัสดิการความเป็นอยู่ เพื่อให้ตรงกับความต้องการจริง ๆ มากที่สุด
        ขอให้พวกเราตั้งใจที่จะทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นจริง ๆ และช่วยกันป้องปรามภูตผีที่กำลังอาละวาดตามโรงเรียนต่าง ๆ ให้สิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นในโรงเรียนของพวกเราด้วย จะได้ไม่ต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ใน 3 โรงเรียน ดังที่ได้กล่าวมาแล้วครับ

        “If first you don’t succeed, try, try, try again !!”
        ถ้าครั้งแรกคุณทำไม่สำเร็จ จงพยายาม พยายาม และ “พยายาม” อีกครั้ง !!

21 กุมภาพันธ์ 2555

“ฝั่งแดงวิทยาสรรค์” (กลอนสุภาพ)

        นี่คือถิ่นศึกษาแห่งนากลาง        อยู่ในทางเมืองพ่อนเรศวร
พระเจดีย์ตีตราค่าสมควร                 นี่ละล้วนชูค่าสถาบัน
        ชื่อสถานศึกษาประสาทสิทธิ์            คือฝั่งแดงวิทยาสรรค์
คนฝั่งแดงรับศึกษามาสัมพันธ์                  ด้วยสำคัญเรียนไปให้ได้ดี
        ผลิตศิษย์น้ำดีมีทุกรุ่น                    สมานรักในบุญคุณเป็นศรี
ในนครหนองบัวลำภูนี้                            สามัคคีมีวินัยน้ำใจงาม
        ศิษยาฝั่งแดงตั้งแจ้งมั่น                   เป็นสำคัญป้องกันใครคิดหยาม
เลือดฝั่งแดงจะไหลให้เป็นทาน                  กระเซ็นซ่านพลีชีพสู้ปัจจา
        มาวันนี้อมิตรในร่างผู้                     ปกครองครูประมุขถิ่นศึกษา
อำนวยการความคิดวิทยา                        กลายเป็นผู้พาลาในหมู่ชน
        บริหารการเงินไม่โปร่งใส                 พูดลามกจัญไรไปทุกหน
ดุและด่าย่อยยับสัปดน                             นักเรียนเลยสุดทนจึงออกมา
        สิบห้ากุมภาผ่านมานี้                      คือฤกษ์ดีวันนี้มีผู้ว่า
ได้ออกเยี่ยมปวงชนชาวประชา                   เหล่านักเรียนจึงมาส่งสำแดง
        ประกาศขับไล่ให้รับรู้                      โชว์ผู้ว่าท่านดูอย่างขันแข็ง
ด้วยจิตแท้แน่ใจไม่รุนแรง                          ทุกหนแห่งต่างดูแล้วรู้กัน
        ประกาศศักดิ์ศรีชาวฝั่งแดง                สัจจานั้นแจ้งและแข็งขัน
ก่อนฝั่งแดงเป็นไฟบรรลัยกัลป์                    กระเทือนลั่นนากลางอย่างร้อนรน
        ฝ.ด.ว. จงสู้อย่างรู้คิด                      ชื่อจงสถิตสถาผล
จงสำเร็จโดยดีทั่วทุกคน                           ขับไล่มารให้พ้นรั้วฝั่งแดง
        ฝ.ด.ว. ชื่อจึงจะลือไกล                     เบ่งบานลือไปในทุกแห่ง
หากปัจจามิตรมาขยายแย้ง                       คนฝั่งแดงจงพ้นซึ่งโพยภัย
        หน้าเกียรติประวัติขจัดชั่ว          รู้ไปทั่วนากลางต่างขานไข
ให้เขารู้ฝั่งแดงนั้นเกรียงไกร                คู่ชาติไทยสถาพรขจรเทอญ

20 กุมภาพันธ์ 2555

“นวมินทร์ฯ พายัพ” (กลอนสุภาพ)

        ถิ่นนี้คือสีน้ำเงินเหลือง               งามประเทืองสดศรีที่เชียงใหม่
แห่งอำเภอแม่ริมให้เกรียงไกร               พระราชทานนามไว้คู่ดินฟ้า
        ชื่อนวมินทราชูทิศ                        ชื่อสถิตพายัพนั้นคู่หล้า
เป็นโรงเรียนในหลวงประทานมา               เป็นหนึ่งในสาขาของห้าเมือง
        น.ม.พ. ชื่อย่อเอกลักษณ์                  น้ำเงินเหลืองประจักษ์ให้ลือเลื่อง
มหาพิชัยมงกุฎสุดประเทือง                     ชนย่างเยื้องภูมิใจที่ได้มา
        ศิษยานวมินทร์นั้นรู้แจ้ง                  สมกับแหล่งการเรียนเพียรศึกษา
มีวินัยน้ำใจนักกีฬา                                พัฒนาปัญญาให้ก้าวไกล
        รุ่งเรืองกันมากว่าสิบปี                    ถึงวันนี้อนาคตหมดสดใส
ผู้ปกครองเข้ามาไม่ทันไร                         เหล่านักเรียนรับไม่ได้ก็แล้วกัน
        โกงกินสิ้นจนไม่สนใจ                      คำติจากใครไม่หุนหัน
ปากสุนัขตักตวงสารพัน                           มิได้กลั่นจากใจส่วนที่ดี
        ทำตัวลามกให้ตกอับ                      เป็นคนสับปลับรู้ทุกที่
กดหัวนักเรียนหญิงด้วยวจี                        เหยียดหยามนารีเสื่อมศักดา
        ขู่ตะคอกดุด่าว่ารุนแรง                    ชอบพูดเสียดแทงว่าปากหมา
นักเรียนลงปลงใจไม่นำพา                        ชังน้ำหน้าอดทนจนวันนี้
        สิบเจ็ดกุมภาไม่จำทน                      เหล่านักเรียนทุกคนล้วนเต็มที่
ประกาศตัดไส้หมดไมตรี                           รู้กันวันนี้เป็นต้นไป
        กว่าพันนั่งหน้าศาลากลาง                  สำแดงแรงอย่างไม่หวั่นไหว
กระเทือนบัลลังก์ให้ลอยไกล                        อย่าอาศัยตำแหน่งแย่งงบกิน
        นวมินทร์ฯ พายัพจงรับรู้                    พวกเราดูช่วยอยู่ไม่จบสิ้น
จนกว่าจะสดใสไร้ราคิน                              แข็งเป็นหินภูผาอย่ากลัวใคร
        ให้ถิ่นนี้อยู่คู่บารมี                            เป็นศักดิ์ศรีคู่เคียงเมืองเชียงใหม่
ดำรงเกียรติศักดิ์ขจรไกล                       คู่ชาติไทยมิผันนิรันดร์กาล

20 กุมภาพันธ์ 2555

"วาเลนไทน์" และความเป็นห่วงที่เราไม่ต้องการ


        พอเข้าเทศกาลวันวาเลนไทน์ทีไร ไม่ว่าจะปีไหนก็ตามทีเถอะ เรา ๆ ท่าน ๆ ก็จะได้พบบรรดาคำแนะนำ คำตักเตือน ที่แสดงถึงความเป็นห่วงของบรรดาผู้ใหญ่ที่เกรงว่าเยาวชนจะได้รับผลกระทบจาก วันดังกล่าวเป็นอย่างมาก จึงทำให้เห็นคำพวกนี้ออกตามสื่อสารมวลชน Social Media หรือพูดกันแบบปากต่อปาก เกลื่อนกลาดจนกระทั่งรกรุงรังไปหมด
        ผู้ใหญ่ที่มีหัวไปในทาง Conservative หรืออนุรักษ์นิยมจ๋าก็จะดาหน้าออกมาห้าม ด่าทอ คัดค้านต่อต้านวันวาเลนไทน์ โดยความคิดที่ว่าวันดังกล่าวจะทำให้เกิดการเสียตัวของผู้หญิงเป็นจำนวนมาก หรือไม่ก็อาจจะเกินเลยทำให้ “ท้อง” ขึ้นมา
         เราอาจจะเห็นได้ง่ายที่สุดนั่นก็คือ พ่อแม่ของเรานั่นเอง ที่พอใกล้หน้านี้ทีไรก็จะคอยถามว่า มีแฟนหรือเปล่า แล้วคำแสดงความเป็นห่วงก็จะพรั่งพรูออกมาจากปาก ถามว่าความเป็นห่วงของพ่อแม่ที่มีให้ต่อเราผิดไหม ไม่ผิดครับ
        แต่คำพูดแบบนี้มันเป็นคำพูดแบบดาด ๆ ไม่ Make Sense อะไรเลย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้บุตรหลานเบื่อหน่ายจนในที่สุดก็ “เหม็นขี้หน้า” ผู้ปกครองตัวเอง (ซะงั้น)


        ถ้าผมไม่มีความรู้สึกว่าอยู่ในสังคมที่แท้จริง แล้วก็ถูกสื่อกระแสหลักครอบงำด้านวัฒนธรรมจนกลายเป็น Conservative ข้อเขียนในลักษณะท้าทายสังคมของผมคงไม่ออกมาสลอนในเฟซบุ๊คตั้งแต่ปีที่แล้วหรอกครับ
        แต่ผมได้เห็นค่านิยมต่าง ๆ ของชนชั้นกลางที่ “อรรถ บุนนาค” ยกคำมาเปรียบได้ “แซ่บเว่อร์” ว่า “ศีลธรรมระดับกระแดะ” ผมจึงสงสัยและต้องตั้งคำถามขึ้นมาเพื่อให้รู้ว่ามันเกิดอุดมการณ์หรือ มายาคติในเรื่องนั้น ๆ อย่างไรบ้าง

        ก็ปรากฏ ขาประจำเจ้าเก่า ผู้ที่มีผลงาน (ในทางปกป้องศีลธรรม ประเพณีวัฒนธรรมไทยอันดีงาม ?) โชกโชน นั่นคือ ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม แห่งกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งมี ลัดดา ตั้งสุภาชัย เป็นผู้อำนวยการ ซึ่งควันไฟเพิ่งจางจากกรณี “ซิมซิมิ” ที่ออกมาแบน คัดค้าน ต่อต้าน เนื่องด้วยเห็นว่าใช้คำไม่สุภาพ จนเยาวชนพากันจวกยับเยินว่า “คุณเป็นใคร จะมาเฝ้าระวังแทนทำไม พ่อแม่ก็ไม่ใช่”

        คือ เยาวชนก็ไม่ได้โง่อย่างที่คุณชอบคิดนะครับ เขาก็มีแนวคิดเป็นของตัวเอง เขาก็พอที่จะรู้ว่าผิดชอบชั่วดีเป็นยังไง ไม่ใช่เด็กผู้หญิงทุกคนจะใจแตกกันหมด จะปล่อยตัวเองท้องไม่มีพ่อรับผิดชอบกันซะหมด ทำเหมือนเด็ก ๆ เขาโดนควักมันสมองสองกลีบออกไปหมด
        ขอโทษ...มันเป็นการ “ดูถูก” สิทธิเสรีภาพของมนุษย์นะครับ
        ปรากฏว่าศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรมก็พยายามทำตัวเองให้ “เหนือ” คนอื่น อยู่เรื่อย พอไฟเริ่มไหม้ฟางจนหมดเพลิง ก็เริ่มราดน้ำมันลงบนกองไฟอีกแทบไม่ต้องให้หยุดพัก ล่าสุด ก็มีการออกคำเตือนผู้ปกครอง ไม่ให้ปล่อยบุตรหลานออกนอกบ้านเกินสี่ทุ่มในวันวาเลนไทน์ นั่นคือ ต้องกลับบ้านก่อนสี่ทุ่มนั่นเอง
        ก็ปรากฏรายการใหม่ของ Voice TV ชื่อว่า “Divas Café” ซึ่งแน่นอนว่าถ้าไม่มี คำ ผกา หรือ ลักขณา ปันวิชัย นักประวัติศาสตร์นิพนธ์และนักเขียนไฟแรงร้อนเร่าคนนี้คงไม่มีเรตติ้งพุ่งกระฉูดกันอย่างแน่นอน
        ในการจัดรายการเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา คำ ผกา ก็ จัดเต็ม กระทรวงวัฒนธรรมอย่าง แซ่บเว่อร์ เหมือนเช่นเคย โดยควักเอามโนสันดานแบบอนุรักษ์นิยมตกขอบมาประจานให้เสรีชนรับรู้รับทราบ ดังที่ได้พูดในรายการดังนี้
        ...กระทรวง วัฒนธรรมของไทยกลัวและเกลียดวันวาเลนไทน์มาก กลัวว่าม่านรูดจะเต็ม กลัวเด็กจะไปเอากันในวันวาเลนไทน์ กลัวจะมีการติดเอดส์การท้องก่อนแต่งในวันนี้อย่างมากมายมหาศาล...เอ่อ กระทรวงวัฒนธรรมคะ เค้าเอากันวันวาเลนไทน์เนี่ยดีกว่าไปเอากันวันมาฆบูชานะคะ หรือมันเอากันปีละวันก็ดีกว่าเอากันปีละ 364 วันนะคะ...

        จัด ได้แรงเหมือนเดิม
        แซ่บเว่อร์ ตามสไตล์ คำ ผกา
        คือ อย่างน้อยเราก็จะเห็นว่าผู้ใหญ่หมกมุ่นอยู่กับการห้าม การค้าน เหมือนกับจะคิดแทนเด็กไปทุกอย่างซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะควร แล้วโดยเฉพาะบุคคลในศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรมหารู้ไม่ว่าท่านกำลัง “ฝืน” ใจตัวเองโดยไม่รู้สึกว่าตัวเอง “ฝืน”
        ท่านคงลืมชีวิตในวัยเด็กไปนะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ถ้าจะยืนยันว่าในวัยเด็กมันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ คงจะพิลึกพิลั่นอย่างพิกล
        แล้วผลงานของศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรมแทบทุกสิ่งก็เป็นสิ่งที่ค้านสังคมมาก ซึ่งเราจะเห็นแนวคิดที่จะเป็นไปในทางอนุรักษ์นิยมอย่างชัดเจน เปลี่ยนไม่ได้ ดัดแปลงไม่ได้ ประยุกต์ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ในบริบทของความหมายคำว่า “วัฒนธรรม” แม้แต่จะให้แปลจากภาษาบาลีสันสกฤตแท้ ๆ ก็มีความแตกต่างกับที่ท่านกำลังคิดอย่างมาก
        คือ คำว่า “วัฒนธรรม” มันเป็นคำที่สมาสกันระหว่าง “วัฒน” กับ “ธรรม” ซึ่งเป็นสันสกฤตทั้งคู่ โดยคำว่าวัฒนก็คือ ความเจริญงอกงาม พัฒนา ดัดแปลง ประยุกต์ ประกอบกับคำว่าธรรมนั่นก็คือความเป็นไปต่าง ๆ อาจจะเป็นสัจธรรม (ความจริง) จริยธรรม (ความดี) หรือบัญญัติธรรม (หลักสมมติที่กำหนดไว้ให้สังคมปฏิบัติ เช่น ประเทศไทยกำหนดให้ขับรถทางซ้าย) เป็นต้น
        แค่นี้เราสามารถสรุปได้เลยว่าวัฒนธรรมต้องมีการเปลี่ยนแปลง พัฒนา มันจะย่ำอยู่กับที่ไม่ได้ แต่ที่ผ่านมาเราเข้าใจคำว่า “วัฒนธรรม” ผิดโดยตลอด โดยเราจะเอามารวมมั่วไปหมดกับประเพณี ขนบธรรมเนียม ทั้ง ๆ ที่มันเป็นคนละระดับกัน เหมือนจะให้เทียบกับหน่วยงานทางปกครอง “วัฒนธรรม” มีฐานะเป็นกระทรวง ส่วนประเพณี ขนบธรรมเนียมและอื่น ๆ อะไรต่อมิอะไรมันเป็นสับย่อยของวัฒนธรรม จึงมีฐานะเป็นกรม
        จึงไม่เห็นอะไรที่จะไปลงตัวกับแนวคิดกับผู้ใหญ่หัวหงอกที่มีความคิดแบบอนุรักษ์นิยมอย่างแรงกล้าได้เลย
        บางคนอาจจะมีความหวังดีว่า แหม ถ้าไม่ถูกต้องเราก็ไปอธิบายให้เขาเข้าใจสิว่าปัจจุบันมันเป็นอย่างไรกันแล้ว ผมว่าทำแบบนี้คงไม่ได้ผลหรอกครับ เพราะมันไปเข้าสำนวนไทยที่ว่า “ไม้แก่ดัดยาก” ซะแล้ว
        หัวสมองแบบนี้คงเปลี่ยนอะไรง่าย ๆ อยู่หรอก เว้นแต่ผู้ใหญ่พวกนี้ (โดยเฉพาะผู้ชาย) จะหัวงูเอา

        เด็กสมัยนี้ไม่ได้โง่เหมือนที่พวกคุณคิดกันอีกแล้วครับ
        ผมเดินไปตามสถานศึกษาต่าง ๆ พบเด็กผู้หญิงหลายคนทำท่าทำทางกระแดะ แรด เข้าใจได้เลยว่า “เคย” แล้ว แต่ถามว่าเด็กผู้หญิงเหล่านี้ “ผิดไหม”
        ผมจะบอกว่าเด็กผู้หญิงเหล่านี้ผิดได้ยังไง เพราะถึงแม้จะโดนเอามาก่อน แต่ก็รู้จักป้องกันระวังตัว ไม่ให้เกิดท้องขึ้นมาได้ เว้นแต่บางคนจะ “เพลิน” มากเกินไปจนไม่รู้ตัวเท่านั้น แต่ก็มีจำนวนน้อย
        แต่อยากจะบอกผู้ใหญ่หัวหงอกหัวดำที่วัน ๆ เอาแต่เป็นห่วงจนลืมหน้าที่อื่น ๆ ที่ตัวเองควรจะหันไปทำบ้างว่า เป็นห่วงน้อย ๆ บ้างก็ได้ครับ เด็กสมัยนี้ไม่ได้โง่เหมือนสมัยก่อนแล้ว เขาก็มีวิธีการป้องกันของเขา ไม่ใช่นิสัยสมัยก่อนซึ่งปัจจุบันจะหาได้จากละครน้ำเน่าซึ่งในที่สุดแล้วก็ ยังคงค่านิยมเก่า ๆ วัฒนธรรมเก่า ๆ จนห่างไกลจากความเป็นจริงไปทุกที ๆ (ก็คงจะมีแต่เรยาเท่านั้นที่กล้าฉีกแนวจนโดนผู้ใหญ่พวกนี้แหละจวกหนัก เพราะเรยาไม่ยอมเดินตามระบบระเบียบแบบแผน อุดมการณ์หรืออุดมคติของละครน้ำเน่า ซึ่งจำง่าย ๆ ว่า พระเอกต้องเป็นสุภาพบุรุษ พระเอกกับนางเอกเจอกันทีแรกต้องเดินชนกัน แล้วก็ชอบทะเลาะกัน พระเอกข่มขืนนางเอกแต่นางเอกกลับยอมพระเอก เป็นต้น)

        เพราะฉะนั้น วันวาเลนไทน์นี้ บรรดาผู้ใหญ่ในศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรมควรจะเอาพละกำลังที่ตัวเองมี ไปสำรวจหนังหน้าตัวเองว่ายังพอเข้าสังคมปัจจุบันได้หรือไม่ ซึ่งถ้าเข้ากันไม่ได้ก็อย่าดันทุรัง ปล่อยให้วัฒนธรรมมันพัฒนาของมันเองดีกว่า ส่วนตัวเองก็อยากจะทำอะไรในบั้นปลายชีวิตก็เชิญ เลี้ยงหลานอยู่บ้าน ฟังเพลงสุนทราภรณ์ มีงานก็ออกไปลีลาศ ก็แล้วแต่ ไม่ใช่มานั่งกัดจิก ขัดขวางไม่ให้วัฒนธรรมมันเติบโต
        ผิดทั้ง ความหมาย และผิดทั้ง เจตนารมณ์
        ผิดสองต่อ !!

13 กุมภาพันธ์ 2555

“ความฝัน” ที่ “ไร้หวัง” (กลอนเปล่า)

        “อารมณ์” แห่ง “ความรัก”
        ของคนอย่างฉัน
        ไม่เคย “หมดสิ้น” สักที
        อยากเลิกทำให้ชีวิตตัวเองวุ่นวาย
        สุดท้าย...
        “ทำไม่ได้” สักที !!

        “ปากไม่ตรงกับใจ”
        นั่นคือ “นิสัย” และ “สันดาน”
        หัวใจน้อย ๆ แต่ทรงพลังนัก
        มัน “กด” และ “กล่อม” ประสาทฉัน
        ไม่ให้เลิกค้นหาสิ่งที่เรียกว่า “ความรัก”
        ไม่คิด ไม่คำนึงถึง “ความดีงาม”
        และ “คนอื่น”
        จน “เจ็บ” ไปหลายทีแล้ว !!

        เมื่อจบสิ้นกับคนหนึ่งแล้ว
        แทนที่จะ “เลิก” กับความรัก
        กลับ “ผูกพัน” ยิ่งกว่าแฟนคนไหน ๆ
        มันทำให้ฉันต้องค้นหา “เธอ” คนนั้น
        คนที่ฉัน “แอบรัก”
        ด้วย “อารมณ์”
        ต่อไป...
        และ
        ต่อไป...
        ไม่มีที่สิ้นสุด...

        ฉันกำลังจะหลับตาลง...
        เพราะ “เหนื่อย” กับความรักที่ผ่านมา
        ทุกข์ ช้ำ เศร้า เสียใจ อาการสารพัด
        เมื่อข่มตาให้หลับสนิท อารมณ์เบาบางสบายแล้ว...
        กลับปรากฏภาพเลือนรางของเธอ...
        และภาพนั้นก็ชัดขึ้น ๆ
        จน “เต็มตา”
        ทั้งที่ก็ไม่ได้เปิดเลย “แม้แต่นิดเดียว”

        ตัวเธอสูงกว่าฉันมาก...
        จนฉันรู้สึกละอาย...
        หน้าหวาน ๆ ของเธอชวนให้ฉันฝัน...
        รูปของเธอในภวังค์ของฉัน...
        “น่ารักมาก !!”

        ฉันคิดมาก คิดละเมอ คิดเพ้อ คิดรวบยอด คิดในกรอบ คิดนอกกรอบ...
        สารพัดคิด...
        ใช้หัวใจวาด “ความฝัน” ให้เป็นไปตามที่ต้องการ
        เมื่อฉันได้เธอมาจริง ๆ ฉันจะดูแล เทกแคร์ เอาใจ ให้เกียรติ ปกป้องเธอเป็นอย่างดี
        และ “รักเธอ” เพียงคนเดียว
        “สัญญานะ...??”
        “สัญญา...”

        รุ่งเช้า...
        แม้ความฝันของเมื่อคืนน่าจะ “โลดโผน” และ “น่าประทับใจ” มากแค่ไหน ??
        ตื่นมา ก็เป็น “เช่นเดิม”
        เหมือน “ไม่ได้คิดเลย !!”
        ข้าง ๆ ฉันถ้าไม่นับ “หมอนข้าง” ก็มีแต่ “ความว่างเปล่า”
        ต้องตื่นแบบ “ไร้กำลังใจ”
        ไปทำงานแบบ “หุ่นยนต์” ซึ่งเก่งยังไงก็ไร้ “หัวใจ”

        แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่ “เจ็บที่สุด” คือ...
        นอกจากที่เธอจะไม่หันมาหาฉันแล้ว
        เธอก็มี “คน ๆ นั้น” เคียงข้างดูแลเธออยู่แล้ว
        เรื่องอะไรที่ “เธอ” จะหันมาหาคนอย่างฉัน
        กรวดทรายชายทะเลที่คนมักเหยียบย่ำข้ามไปเพื่อที่จะเล่นน้ำทะเลซึ่งอยู่ติดกัน
        ฉันใดก็ฉันนั้น
        สายตาของเธอ “มองผ่าน” ฉันไปช้า ๆ
        ไม่ใยดี
        แต่ฉันก็เจอเธอทุกวัน ?!
        เธอก็จะเป็นเช่นนี้ทุกวัน !!
        จึง “หมดหวัง”
        ที่จะทำ “ความฝัน” ให้ “เป็นจริง”
        เศร้า...!!

        “คืนนี้” หมดความหมายและกำลังจะผ่านไป...
        ฉันเอ่ยคำอำลาภวังค์ที่แสนสุขว่า...
        “ลาก่อนที่รัก (ในความฝัน)
        ตอนค่ำคืนนี้...
        อย่าลืมมาแวะเวียนในความฝันอีก (หลาย ๆ) ครั้ง นะ...
        “ที่รัก !!”

8 กุมภาพันธ์ 2555

พลัง “บริสุทธิ์” แห่งเยาวชนไม่เสื่อมคลาย การเหยียดหยาม “ไร้ค่า” สำหรับ “คนจริง”

        “เกิด เป็นชายขายชาติ...หาเงินจากผู้ปกครอง...แถมยังผ่อนเบนซ์ป้ายแดง...ชอบกินแรง ครูอาจารย์...ไม่ทำงานกินเงินเดือน...สติฟั่นเฟือนวิกลจริต...เป็นโรคจิตใน สังคม...ชอบมองนมครูสาว ๆ...ชอบว่ากล่าวนักเรียนดี...ทำตัวเป็นผู้ดีต่อหน้าผู้คน...ดูถูกคนจนเป็น ยอดดี...เป็นคนขี้ถี่ในสายเลือด...อารมณ์เดือดไม่ได้ดั่งใจ...เลยให้ไปยืน สนามหญ้าหน้าโรงเรียน...!!”
        กลอนบทดังกล่าวถูกนำมาอ่านกลางบริเวณการชุมนุมของนักเรียนโรงเรียนอุดรพิทยา นุกูล (อ.พ.) จังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีถ้อยคำในเชิงประชดประชันและเสียดสีพฤติกรรมของผู้อำนวยการอย่างหนัก และไม่ไว้หน้า
        การประท้วงในครั้งนี้นักเรียนอุดรพิทย์ได้ใช้กระบวนการสร้างความไม่สะดวกคือ การที่ไม่เข้าเรียน ซึ่งเป็นกระบวนการที่แน่นอนละว่าสร้างความเดือดร้อนให้กับครูอาจารย์เป็น อย่างมากเพราะต้องขาดการเรียนการสอนไปในวันนั้น แต่เพื่อสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ของโรงเรียน นักเรียน (รวมไปจนถึงบุคลากรอื่น ๆ ในโรงเรียน) จึงยอมหยุดทำหน้าที่ของตน เพื่อร่วมกันต่อสู้ในครั้งนี้
        นอกจากนี้ยังมีบุคคลภายนอกมากมาย โดยเฉพาะศิษย์เก่ารุ่นต่าง ๆ ของอุดรพิทย์ มีคณะกรรมการสถานศึกษา โดยเฉพาะศิษย์เก่าคนหนึ่งซึ่งเป็นอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนอุดรธานีพิทยาคม (อ.ด.พ.) รวมถึงเคยเป็นครูของอุดรพิทย์อีกด้วย ในฐานะศิษย์เก่าคนหนึ่งของอุดรพิทย์ ก็ร่วมเข้ามาในการชุมนุม โดยรวมแล้วฝีปากของนักเรียนแกนนำการชุมนุมและศิษย์เก่าถือว่าเผ็ดร้อนและจัด จ้านมาก เทียบความ “มันยกร่อง” ได้กับการชุมนุมของนักเรียนโรงเรียนเขาวงพิทยาคาร (ข.พ.) จังหวัดกาฬสินธุ์เมื่อปลายปี 2553 เลยทีเดียว
        เรียกว่า “แซ่บเวอร์” เลยก็ได้...อั๊ยย่ะ !!
        ก่อนที่สุดท้าย ผอ.ของ สพม.20 ต้นสังกัด (ซึ่งก็เป็นศิษย์เก่าของอุดรพิทย์อีกเช่นเดียวกัน) จะมารับหนังสือไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

        ผมติดตามไปยังหน้าข่าวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องการการชุมนุมของนักเรียนอุดรพิทย์ ก็มีการแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ ในเชิงชื่นชม หรือวิจารณ์ ติชมซึ่งเราสามารถทำได้ในเชิงสร้างสรรค์ และเราก็สามารถยอมรับได้ในกระบวนการคิดที่จะนำไปสู่การพัฒนาต่อไป
        ทว่าก็มีบางความคิดเห็นที่ออกมาในเชิงไม่สร้างสรรค์อยู่มากมาย ออกจะเป็นการ “ด่า” เสียด้วยซ้ำ แต่ที่ผมรับไม่ได้อยู่อันหนึ่ง คือ ที่ออกมาโพสต์ในทำนองว่า
        “เด็กอุดรพิทย์มันป่าเถื่อนเหมือนเสื้อแดง นึกอยากจะทำอะไรก็ประท้วง”
        แล้วก็บรรดาข้อความที่พาเหรดกันมาปานขบวนรถไฟฟรี ถล่มโจมตีบรรดานักเรียนและศิษย์เก่าอุดรพิทย์เสีย ๆ หาย ๆ ในทำนองว่าไม่มีหัวคิด อุดรนี่เมืองเสื้อแดงนี่หว่า อุ๊ย ! บ้านเมืองเถื่อน เยาวชนจึงติดเชื้อ อยากจะทำตัวเป็นนักบุญ เข้าไปสั่งสอนเยาวชนพวกนี้ให้ต้องเป็นคนแบบโน้นแบบนี้ บลา ๆ
        อย่างนี้ถือว่าเป็นการ “ดูถูก” หรือ “เหยียดหยาม” ชาติพันธุ์กันได้ไหมครับ ?!
        ผมว่าตรงนี้มันเป็น “คนละเรื่อง” กันกับด้านการเมือง เป็นความเดือดร้อนของนักเรียนที่เกิดขึ้นจริง ๆ จากน้ำมือการกระทำของผู้อำนวยการ ต้องแยกแยะให้ออกนะครับว่ามันสิ่งนี้เป็นเช่นไร สิ่งนั้นเป็นเช่นไร ไม่ใช่จับทุกเรื่องโยนใส่การเมืองมั่วซั่วไปหมด เหมือนเห็นทุกอย่างคือการเมือง อย่างกรณีของนิติราษฎร์ ซึ่งกำลังถูกความพยายามที่จะทำให้ “แปดเปื้อน” ทั้ง ๆ ที่ก็ทำด้านวิชาการโดยที่ไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่นเลย
        คือ อะไรที่เห็นตรงข้ามกับตัวเองก็โยนไปเป็นความเลวระยำตรงข้ามหมด อย่างนี้จะให้คิดยังไงครับ ?
        การมองทุกอย่างเป็นเรื่องของ “การเมือง” จึงเป็นเรื่องที่วิญญูชนพึงรังเกียจเป็นอย่างยิ่ง
        บุคคลบางจำพวกเกลียดกลัวคำว่า “การเรียกร้อง” เป็นอย่างมาก หลายคนได้แสดงความคิดเห็นว่า เดี๋ยวนี้คนไทยติดเชื้ออยากเด่นอยากดัง เวลาเดือดร้อนอะไรหน่อยก็เอาแต่ประท้วง ก่อม็อบ ปิดถนน เดินขบวน สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว
        ทั้ง ๆ ที่คนเหล่านี้หารู้ไม่ว่า สิ่งที่เราได้ ๆ กันมาในทุกวันนี้ ที่เราเป็นอยู่ในวันนี้ แทบทุกอย่าง มันมาจากการ “เรียกร้อง” ทั้งนั้น
        เพียงแต่ว่าจะเป็นวิธีใดก็เท่านั้น
        การชุมนุม ประท้วง มันเป็นวิธีการหนึ่งซึ่งกระทำเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในข้อเรียกร้อง และยิ่งมีเทคนิคเข้ามาช่วย หรือชุมนุมในเชิงสัญลักษณ์ ก็ยิ่งเรียกความสนใจให้กับการชุมนุมมากยิ่งขึ้น ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอาจจะนำการชุมนุมดังกล่าวไปขยายผลหรือดำเนินการ เช่น หน่วยงานเหนือต้นสังกัดรับหนังสือของผู้ชุมนุมที่ต้องการให้บุคคลที่ปกครอง ตนอยู่นั้นพ้นจากตำแหน่ง
        ถ้าเราไปอยู่เฉย ๆ แล้วมันจะเกิดผลอะไรเล่า ?
        ก็มีแต่เขาจะสมเพชเวทนาเท่านั้นเอง...

        ในระบอบประชาธิปไตย การชุมนุมเป็นสิ่งที่คลาสสิกมาก ๆ และเป็นสิ่งที่ทำได้ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ก็มีแต่เพียงพวกคอนเซอร์เวทีฟ หรืออนุรักษ์นิยมเท่านั้น เห็นว่าเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน ล้าหลัง มึงจะเรียกร้องอะไรกันนักหนา ก็เพียงแค่พอเพียง พอ พอ และ พอ มึงก็ไม่ต้องเดือดร้อน มาชุมนุมกันหรอก
        ให้ลองคิดไว้ด้วยว่าคนพวกนี้หลงลืมอะไรไปบางอย่าง
        ให้ลองคิดไว้ด้วยว่าคนพวกนี้มีความต้องการ เรียกร้องเหมือนกันกับพวกชาวบ้านตัวเล็ก ๆ หรือไม่ ?
        ตอบแทนกันได้เลยว่า “มี” เช่นกัน
        แต่การเรียกร้องของคนพวกนี้ มีแนวทางที่ต่างกันและไม่เป็นข่าวให้สมเพชเวทนากันเหมือนการเรียกร้องของ ประชาชนชั้นล่างหรือชั้นถูกปกครองในบริบทต่าง ๆ คือ อาจจะได้มาจากการประจบ สอพลอ เลียแข้งเลียขา หรือทำตัวยั่วยวน ยั่วสวาท เป็นต้น
        ทำได้ง่าย ๆ โดยที่ไม่ต้องออกแรงยกป้ายผ้าให้มันเหนื่อยมันเมื่อยส้นตีนเหมือนกับนักเรียนอุดรพิทย์หรอกครับ

        มันเป็นกระบวนการเรียนรู้ประชาธิปไตยที่ง่ายและเข้าใจได้รวดเร็วกว่าการที่ ต้องมานั่งเปิดหนังสือเล่มโต ๆ อ่านให้เวียนหัวเล่นแล้วต้องท่องมันเอาไปสอบปลายภาค ไป “โชว์ โง่” ให้อาจารย์เห็นอีกต่างหาก ซึ่งไม่ควรเลยที่จะต้องมาด่าทอกันเละเทะ เสีย ๆ หาย ๆ ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเรียกร้องเลย แต่เราควรที่จะมาดูกันในเรื่องเนื้อหา ประเด็นที่เขาเรียกร้องกันน่ะ ที่ ผอ.โกงเงินโดม โกงเงินโรงฝึกงาน นั้นจริงหรือเปล่า เงินแป๊ะเจี๊ยะมันหายไปไหน ต้องมาดูตรงนี้
        ส่วนหนึ่งที่ทำให้การชุมนุมของนักเรียนอุดรพิทย์เกิดความสำเร็จ ก็มาจาก “เฟซบุ๊ค” ของโรงเรียน ซึ่งเปิดให้นักเรียนชั้นต่าง ๆ เข้ามาแสดงความคิดเห็น สอบถามในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งกลายเป็นสถานที่รวมพลังของนักเรียนในการ “เปิดโปง” ความชั่วของผู้บริหาร จนนำไปสู่การนัดกันชุมนุมในที่สุด
        “เฟซบุ๊ค” จึงกลายเป็นสื่อสารมวลชน “แนวใหม่” ที่มวลเรากำลังนิยมกันอยู่ในขณะนี้
        ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป “อุดร พิทย์” ได้จุดกระแสความหวังให้กับนักเรียนอีกหลายโรงเรียนที่กำลังได้รับความเดือด ร้อนจากผู้บริหาร ให้ “ลุกฮือ” กระทำเช่นเดียวกับที่มวลประชาอุดรพิทย์ได้กระทำมาแล้ว เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา
        โปรดจับตาดู !!
        และจะมีใครหน้าไหนออกมาถล่มโจมตี “พลังบริสุทธิ์” ของเหล่านักเรียนจากโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศที่จะออกมาประกาศจุดยืนพิทักษ์ปกป้องศักดิ์ศรีของโรงเรียนตนเองบ้าง
        อย่า “กะพริบตา” เป็นอันขาด !!
        รับรองงานนี้...
        แซ่บเวอร์...!!

11 กุมภาพันธ์ 2555

“อุดรพิทย์” (กลอนสุภาพ)

        แหล่งวิชาสถาบันอันดับหนึ่ง         ชาวอุดรคิดถึงไม่รู้หาย
โรงเรียนเด่นเป็นศรีศักดิ์ขจาย                ทั้งหญิงชายปลงใจใฝ่นิยม
        น้ำเงินชมพูดูสง่า                            ชาวประชาภูมิใจหมายได้สม
ชื่อ อ.พ. เกียรติมีศรีอุดม                           นามชื่นชมอุดรพิทยานุกูล
        หลายสิบปีผ่านมาน่าภูมิใจ                 กาลเวลาผ่านไปไม่สิ้นสูญ
เด่นตระหง่านในอุดรพรจำรูญ                     ยิ่งเพิ่มพูนคุณค่าสถาพร
        กาลเวลาผ่านมาถึงวันนี้                     อ.พ. กลับอัปรีย์ไม่เหมือนก่อน
ณ วันนี้ปวงประชาศรัทธาคลอน                  ถูกลดทอนคุณค่าบารมี
        ได้มีผู้เข้ามาบริหาร                         ชอบทำตัวเป็นมารทานศักดิ์ศรี
ก่อระยำทำชั่วตัวไพรี                               ให้แตกความสามัคคีในหมู่ชน
        โกงกินสุดสิ้นจะบรรยาย                   ทั้งเช้าสายบ่ายเย็นไม่เห็นสน
อุดรพิทย์ศิษยาจึงสุดทน                           จึงขับไล่ความมืดมนให้หมดไป
        ยี่สิบเจ็ดมกราปีห้าห้า                      มวลประชาอุดรพิทย์จึงคิดได้
เมื่อตะวันทอแสงแจ้งหทัย                         ใครต่อใครจึงขึ้นมาลุกฮือ
        ธงน้ำเงินชมพูสะบัดไกล                   วันนี้จะไม่เรียนหนังสือ
แต่วันนี้จะเรียนด้วยใจกับมือ                     นี่แหละคือวิชาประชาธิปไตย
        ตะโกนโห่ร้องก้องสนาม                   อยู่ทั่วเขตคามไม่สงสัย
ชูธงชูธรรมความมีชัย                              ไล่อุบาทว์จัญไรให้หมดลง
        อุดรพิทย์โด่งดังทั่วอุดร                     บัลลังก์บนเริ่มคลอนตามประสงค์
คนชั่วต้องออกไปไม่ดำรง                         แต่ อ.พ. ยังคงอยู่ชั่วนิรันดร์
        และแล้วข้อเสนอก็เป็นผล                 สังกัดเบื้องบนจึงรังสรรค์
ให้ไปช่วยราชการที่เขตพลัน                      ชาวประชาเรานั้นพลอยดีใจ
        แต่การต่อสู้ยังไม่จบ                       จะสู้อีกคำรบก็คงใช่
นี่เพียงช่วยราชการมิย้ายไป                      คงต้องให้ไปสิ้นจากถิ่นนี้
        อุดรพิทย์จึงกลับสงบสุข                  หมดสิ้นทุกข์อุดมเกียรติและศักดิ์ศรี
กำลังใจเพื่อนพี่น้องทั่วธานี                        ไหลปรี่ด้วยใจให้ อ.พ.
        จงสู้ต่อไปอย่าย่อย่น                        ให้มันพ้นออกไปไม่เหลือหลอ
รวมพลังต่อไปไม่ถอยท้อ                           เราจะรอพวกท่านคอยสำแดง
        จะได้รู้อุดรพิทย์นั้นเกรียงไกร               กล้าหาญชาญชัยและกร้าวแกร่ง
ประชาธิปไตยค่าไม่แพง                            จงแสดงเพื่อมวลอุดรพิทย์
        อุดรพิทย์จงอยู่คู่อีสาน               ชั่วอนาคตกาลตราตรึงจิต
เกรียงไกรใหญ่ยิ่งไม่สิ้นฤทธิ์                       เหล่าเพื่อนมิตรส่งใจให้พวกเธอ !!

11 กุมภาพันธ์ 2555

ถ้าไม่มี “มึง” เรื่องจึง “ไม่เกิด !!” (กลอนสุภาพ)

        งามไส้ไม่เลิกโดยเปิดเผย      ไฉนเลยยังทำเหมือนแต่เก่า
หลอกแต่กูรู้กันพอทำเนา              คิดว่ากูสะเพร่าหรืออย่างไร
        อุตส่าห์ตัดขาดอีชาติชั่ว             อีคนมั่วตัวดีให้ยิ่งใหญ่
ก็ยังแถแก้เกี้ยวเที่ยวทำไป                   ไม่รู้สึกอะไรในสำนึก
        ไม่มีหลงเหลือเศษเสี้ยวให้           ไม่มีอะไรให้ตรองตรึก
ทำไปเอามันคะนองคึก                       จะคิดอ่านรำลึกไม่เคยมี
        ข่าวด้านล่ามาไวให้จับตา            ร่ำลือออกมาให้เต็มที่
เปลี่ยนที่อยู่ใหม่ให้เปรมปรีดิ์                จะโกหกทั้งทีก็ไม่เนียน
        บ้านมันแถวตรงกับบ้านผัว           มึงจะมั่วอย่างไรก็ไม่เปลี่ยน
จะมาอ้างต่างซอยมาคอยเรียน              จะนั่งเทียนอย่างไรไม่เข้าที
        เสือกประชาอุทิศแถบเดียวกัน       ให้ที่อยู่มันมาเร็วรี่
พยายามจับใต๋ได้อย่างดี                      ก็ไม่มีอะไรจะหักลง
        อีกะหรี่เชียงกงจงหุบปาก             อย่าทำได้ไม่พออยากตามประสงค์
เป็นกะหรี่ที่มาจากเชียงกง                    ซ่อมกี่ทีก็ปลงจะแตกตาย
        โธ่สันดานค้างปีไม่มีหยุด              โธ่อีทุดส้นตีนอีฉิบหาย
กูก็แค่แกล้งโง่ทำตัวควาย                      ดีไม่ตรอมจนตายเท่านั้นเอง
        หน้าโทรมหม่นหมองมิผ่องพักตร์     มิกล้าทักนึกว่าหมาติดเป้ง
จะหันกลับไปดูก็หวั่นเกรง                     สีเขานั้นละเลงไปทั่วตัว
        มึงบางมดทั้งคู่อยู่กันไป                กูบางนามิใช่ว่าจะชั่ว
แค่ความเหี้ยคนละอย่างอย่ามากลัว          ห่วงไว้เถิดกลัวผัวจะติดเชื้อ
        อีหน้าหอยร้อยชั่งซังกะตาย            มองขวาซ้ายชาติละทียังมีเบื่อ
อยากฆ่าหนอนชอนไชมาจากเกลือ            จะตัดไม่ให้เหลือโคตรเผ่าพงศ์
        อย่าหาว่ากูไม่ปรานี                     กูจะฆ่าอีนี่เป็นผุยผง
หลอกแต่คนทั้งโลกทำได้ลง                     กูละจงสมเพชอีเปรตเวร
        ดรุณีมิสาวอีอ่าวเปิด                     มัวแต่เพลิดเพลินใจไม่ดูเถร
อิ่มอร่อยหอยหมีทั้งเช้าเพล                     ไม่เคยจะซ่อนเร้นเป็นนิตย์เนือง
        เป็นคนอื่นยังเนียนยังรู้สึก               แต่อีนี่สำนึกไม่เป็นเรื่อง
รู้ถึงไหนใครเป็นแฟนก็แค้นเคือง               เหมือนตัวเองเคี้ยวเอื้องอยู่คนเดียว
        เกิดแก่เจ็บตายไม่สนใจ                  สนแต่ว่าอย่างไรจะได้เสียว
ธรรมดาตามประสาคนมันเคียว                 ไม่ยอมให้แห้งเหี่ยวไปตามกาล
        อโหสิไม่ลงคงท่าเหลว                    ก็มันโคตรจะเลวเขาไขขาน
ก็ดูเขาตราหน้าว่าสามานย์                       ยังหน้าด้านต่อไปใช่จดจำ
        อัญชลีวันทาอาละวาด                    ถ้ากูพลาดเกิดไปอย่าได้ขำ
กูสุดทนแล้วซีอีระยำ                              ดูมันทำเจ็บใจไม่ใยดี
        หมดเวลาอย่าเหิมเลยอีดอก              เดี๋ยวเจอหอกพุ่งหลาวมาเต็มที่
ตัดมึงไปสุขสบายได้ฟรี ๆ                        ก็ยังดีกว่ามึงมาลอยวน
        อย่าหันหน้ามาหาทางกู            กูรู้กูอยู่กูไม่สน
เรื่องอะไรจะต้องมาจำทน                 กับอีดอกสัปดนอยู่คนเดียว !!

8 กุมภาพันธ์ 2555

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

“นักข่าวพลเมือง” ส่วนร่วมของประชาชนยุคดิจิตอล

        ไม่กี่วันที่ผ่านมามีปรากฏการณ์หนึ่งของโลกที่กำลังจะกลายเป็นประวัติศาสตร์และความทรงจำ คือ “โก ดัก” ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับฟิล์มและอุปกรณ์ถ่ายภาพรายใหญ่ของโลกกำลังจะล้ม ละลายเนื่องจากกระแสเรื่อง “ดิจิตอล” ซึ่งมีลักษณะสำคัญคือ ง่าย เร็ว สะดวก เข้ามาทำลายรูปแบบเก่าของการถ่ายภาพซึ่งต้องใช้ฟิล์มและเวลาหมดก็ต้องวิ่ง เข้าร้านอัดรูป จนฟิล์มแทบจะหมดความสำคัญในกระบวนการถ่ายภาพในสมัยใหม่ อีกทั้งอุปกรณ์การถ่ายรูปที่ในขณะนี้ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นกล้องเสมอไป บางที “โทรศัพท์มือถือ” ก็กลายเป็นอุปกรณ์ถ่ายรูปไป และได้มีการพัฒนาฟังก์ชั่นเกี่ยวกับการถ่ายมาเรื่อย ๆ จนเรียกว่ามีมือถือเครื่องเดียวไม่ต้องซื้อกล้องเพราะมันชัดเหมือนกล้องมาก ซึ่งคนที่แก่ ๆ ในโลกก็คงจะทันได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอันนี้
        เรื่องดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในร้อย ในพัน ในหมื่น ในแสน ในล้าน หรือในล้านล้านความเปลี่ยนแปลงบนโลกใบนี้ ซึ่งจะนำโลกเปลี่ยนผ่านการใช้ชีวิตแบบเก่าเข้าสู่แบบใหม่ เรามีวิทยาการใหม่ ๆ ที่สะดวกสบายเข้ามาสู่ชีวิตของเราเรื่อย ๆ และบางครั้งก็กระโดดมาเป็นของใช้สำคัญในบ้านเรา ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น พัดลม โทรทัศน์ ตู้เย็น เตารีด เป็นต้น
        ยุค “ดิจิตอล” ถือเป็นสิ่งที่เราควรระลึกว่ามันกำลังคืบคลานเข้ามาสู่ชีวิตของเราแทนที่ยุค “อนาล็อก” ซึ่งมันกำลังจะจากไป บางอย่างก็หายไปจากบ้านเราแล้ว เช่น โทรเลข เป็นต้น

        ท่านคงจะได้ยิน ได้ฟัง ได้รับรู้คำว่า “นัก ข่าวพลเมือง” มาบ้างไม่มากก็น้อย ส่วนใหญ่จะได้รับชมมาจากโทรทัศน์ จากสถานีโทรทัศน์หลายช่องด้วยกัน เช่น Voice TV ก็เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการนำเสนอและรายงานเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยการส่งข่าว ภาพ ภาพเคลื่อนไหว ให้กับสถานีเพื่อจะนำลงจอต่อไป
        คำว่า “นักข่าวพลเมือง” นี้มีความน่าสนใจ เนื่องจากคำ ๆ นี้มันทรงพลังในยุคแห่งการสื่อสารยุคนี้เป็นอย่างมาก หลายเหตุการณ์ที่สำคัญ ๆ หากไม่ได้นักข่าวพลเมืองหรือผู้ที่เห็นเหตุการณ์จริงแล้วสามารถบันทึกเป็น ภาพหรือภาพเคลื่อนไหวได้ความจริงบางอย่างคงไม่กระจ่างก็เป็นได้
        นักข่าวพลเมือง อาจจะได้ข้อมูลที่สำคัญโดยไม่ได้ตั้งใจก็ได้ อาจจะเป็นไทยมุงในเหตุการณ์นั้น เช่น รถชน ทะเลาะวิวาท การชุมนุมประท้วง และบางครั้งสามารถเผยแพร่ข่าวได้ก่อนที่นักข่าวจริง ๆ จะไปทำข่าวเสียอีก และช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์เพียงอย่างเดียวเสมอไป เราสามารถเผยแพร่ตามสื่อประเภทอื่น ๆ ที่สำคัญในยุคนี้ก็คือ “Social Network” ซึ่งในขณะนี้ “เฟซบุ๊ค” ก็ยังครองความเป็นใหญ่ในด้านนี้อยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งก็มี “ทวิตเตอร์” ตามมาอย่างติด ๆ ครับ
        นอกจากจะเป็นข่าว การนำเสนอเหตุการณ์ โดยมีการวิเคราะห์ วิจารณ์ ในรูปของบทความ หรือร้อยกรองต่าง ๆ ก็สามารถนำเสนอลงสื่อสารแนวใหม่เหล่านี้ได้ จนเห็นได้ว่า สารที่ได้รับจากสื่อสารในอินเตอร์เน็ต มีความครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งกว่าสื่อพื้นฐานเสียอีก และสามารถเลือกรับชมได้หลายทาง หลายรูปแบบ ตามความต้องการของผู้รับสาร
        อีกอย่างที่น่าสนใจ ก็คือ นักข่าวพลเมืองนี้ ไม่จำเป็นจะต้องเรียนหรือศึกษาทางนิเทศศาสตร์หรือวารสารศาสตร์โดยเฉพาะเลย จะเรียนอะไร จะประกอบอาชีพอะไร ถ้าคอมพิวเตอร์หรือกดมือถือเป็นหน่อยก็สามารถทำหน้าที่นี้ได้อย่างดีครับ

        ความจริงที่ได้ปรากฏอยู่ในสื่อสารขนานใหม่ ทำให้ประชาชนได้รับรู้ความจริงซึ่งหาไม่ได้ในสื่อสารกระแสหลัก ทำให้พวกเขาตาสว่างขึ้น และในขณะเดียวกัน ก็เป็นปัญหาโลกแตกของผู้ที่มีความคิดเชิงเผด็จการที่บังเอิญไปทำอะไรไม่ดี ไม่งามให้สังคมเข้า จ้างสื่อสารมวลชนกระแสหลักปิดปากไม่ให้ทำข่าว ไม่ให้ชี้ว่าตัวเองผิด แต่ก็ปรากฏว่าคนกลับเข้าใจตรงข้ามกับตัวเองเต็มเมือง เพราะใคร...?
        นักข่าวพลเมือง
        ยกตัวอย่างการยิงกระสุนปืนใส่ประชาชนในเขตอภัยทาน หรือประชาชนที่ไม่ได้เกี่ยวกับการชุมนุมอะไรเลย ไม่ว่าฝ่ายที่กุมอำนาจรัฐ หรือสื่อสารมวลชนจะออกมาชี้นำ ชักนำกันอย่างไร ก็จะพบว่าในสื่อสารออนไลน์นี่แหละ จะพบกับความจริงที่บิดเบือนไม่ได้ มีภาพ มีคลิปประกอบการนำเสนอข้อมูลตัวอักษร ข้อมูลตรงนี้แหละที่จะนำมาหักล้างผู้ที่กำลังจะแหกตาบิดเบือนความจริงได้
        เมื่อปลายปีที่ผ่านมา จึงพบว่ามีผู้หญิงบางคนซึ่งออกจะพิลึกพิลั่นไปหน่อย เลย “โชว์ห้าว” สั่งให้บล็อกเว็บไซต์เฟซบุ๊คกับยูทูป เพราะระแวงว่าจะมีใครคนใดจะเขียนหรือพูดในลักษณะ “ตอมมาตรา 112”
        คือ วนไป วนมา
        ต้องเข้าใจว่า แมลงพวกนี้ มันไม่ได้อยากจะติดกับดักมาตรานี้หรอกครับ เพียงแค่ตอมดูว่ามันคืออะไรแค่นั้น ก็เหมือนกับอาจารย์หรือบุคคลหลายคนที่ออกมาพูดถึงสถาบันต่าง ๆ ของประเทศ ไม่ได้มีความเกลียดชังหรือแสดงความหยาบคายอะไรเลย เพียงแค่หวังดีต้องการให้สถาบันมีความยั่งยืนมากขึ้น ก็กลายเป็นว่า
        “ทำผิด” ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
        เรื่องนี้จึงเป็นที่กังขาของสังคมว่ามาตรานี้มาตราเดียวมันทำให้สังคมมีความ แตกแยก และแถมบางคนก็ยิ่งทำตัววุ่นวายไปใหญ่ บังเอิญว่ากระแสแก้ไขมาตรา 112 ของคณะนิติราษฎร์ ไปคาบเกี่ยวกับเวลาของกระแสการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 พอดี ด้วยความเกลียดชังคนบางคน พรรคบางพรรค เลยไม่คิดไตร่ตรองอะไร ติดกับดัก “ความโง่” เข้า เลยเข้าใจว่า
        จะแก้ไข “รัฐธรรมนูญ มาตรา 112”
        ปล่อย “ไอ้โต้ง” ไปแล้วหลายตัว
        การบังคับใช้กฎหมายมาตรานี้ที่ผ่านมา เป็นปัญหาอย่างมากถึงความไม่เป็นธรรม เอาแค่กรณีของตัวการและตัวทำซ้ำเพียงกรณีเดียว (ไม่บังอาจบอกว่าใครกับใคร) ที่ได้การปฏิบัติและโทษไม่เท่าเทียมกัน ก็รู้แล้วว่าสังคมนี้มันเอียงกะเท่เร่ขนาดไหน ซึ่งเราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยถึงสิ่งเหล่านี้
        มันจึงสมควรที่คณะนิติราษฎร์จะ “ลุยขวากหนาม” รณรงค์ให้มีการล่ารายชื่อเพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพื่อให้มีการบังคับใช้อย่างเป็นธรรม ผู้ที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถาบันอย่างบริสุทธิ์ใจจะได้รับความคุ้มครอง ไม่ใช่เห็นเป็นฝ่ายตรงข้ามหน่อยก็ยัดเข้าคลองเปรมลูกเดียว

        กลับมาที่เรื่องนักข่าวพลเมือง นอกจากนักข่าวพลเมืองซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการนำเสนอข่าวหรือ เหตุการณ์แล้ว ยังมีคอลัมนิสต์หน้าใหม่แจ้งเกิดใน Social Network อีกมากมาย ซึ่งความคิดความอ่านของบุคคลเหล่านี้น่าสนใจและเป็นประโยชน์กับสังคมเป็น อย่างมาก บางคนเติบโตจากที่นี่จนได้เป็นคอลัมนิสต์กระแสหลักก็มี
        ผมเป็นคอลัมนิสต์ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว หรือในขณะที่ผมเรียนอยู่ชั้น ม.4 ผมได้โอกาสจากหนังสือพิมพ์เฉพาะกลุ่มฉบับหนึ่งซึ่งมีอดีตสมาชิกในฝ่าย นิติบัญญัติเป็นเจ้าของบริหาร ผมทำงานได้เพียงครึ่งปีก็ต้องเลิก เนื่องจากแท่นพิมพ์ที่พิมพ์หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ถูกยึดเพราะถูกกล่าวหาว่ามี บุคคลบางคนในหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวอาจจะกระทำผิดมาตรา 112 (อีกแล้ว)
        นับแต่นั้นมาผมก็เริ่มเขียนบทความเป็นคอลัมนิสต์อิสระ ลงเฟซบุ๊คอยู่เรื่อย ๆ ในนามของ “ก้อนอิฐ” และได้ค้นพบการทำสื่อออนไลน์ในรูปแบบของ PDF ร่วมกับเพื่อนพี่น้องหลายคน จนได้ออกหนังสือออนไลน์ “พลังใหม่” ขึ้นมา ซึ่งได้ทำบทวิจารณ์เกี่ยวกับการศึกษา สังคม และการเมือง ก็ทำได้ประมาณครึ่งปีเหมือนกัน ก็ต้องเลิก เพราะความไม่สะดวกบางประการของเฟซบุ๊ค
        ผมทำบทความมาก็ได้การตอบรับที่หลากหลายมาก ทั้ง “ดอกไม้” และ “ก้อนอิฐ” สมกับชื่อผมจริง ๆ ยอมรับว่ามีด่า ทะเลาะ จะกระทืบอีกต่างหาก แต่มันก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผมปรับปรุงบทความต่าง ๆ ให้มีความสมบูรณ์และถูกต้องมากขึ้น
        ทุกวันนี้ผมเขียนบทความเกี่ยวกับการเมือง สังคม และการศึกษา และหวังว่าจะมีใครสักคนหนึ่งนำผมเข้าไปร่วมในสื่อสารมวลชนต่าง ๆ เพื่อนำความคิดเห็นที่อาจจะมีประโยชน์ออกสู่สังคมและเพื่อที่จะได้แลก เปลี่ยนความคิดเห็นกันครับ
        ผมเชื่อว่าในอนาคตจะมีนักข่าวพลเมืองและคอลัมนิสต์มวลชนแบบผมและเพื่อน ๆ อีกจำนวนเยอะแยะที่สามารถนำเสนอข่าว เหตุการณ์ ได้อย่างรวดเร็วฉับไวและถูกต้องแม่นยำโดยไม่ต้องพึ่งพาหรืออดทนกับการบิด เบือนของสื่อกระแสหลัก โดยเฉพาะการนำเสนอผ่านหน้าเว็บต่าง ๆ ซึ่งทำให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายในการนำเสนอได้ดีและมีผลตอบรับค่อนข้างสูง อีกทั้งสื่อสารมวลชนประเภทนี้จะมีบทบาทสูงในสังคมจนสื่อกระแสหลักต้อง พิจารณาตัวเองใหม่ครับ
        นี่คือ “ความเปลี่ยนแปลง” หนึ่ง ในสังคมยุคดิจิตอล ซึ่งเรา ๆ ควรสังเกตและตามมันให้ทันครับ
        แต่สุดท้ายนี้ อยากจะตั้งคำถามเพื่อเป็นการทิ้งท้ายสักข้อว่า...
        กรณีที่มีผู้ (มือดี) นำคลิปที่แอบถ่ายมาเผยแพร่ โดยในคลิปนั้น เป็นเหตุการณ์ นร.หญิงตบกันเพื่อแย่งผัว หรือ นร.ชายตีกันหน้าสถาบันหรือบนรถเมล์ หรือบรรดา “สื่อประกอบการช่วยตัวเองทั้งหลาย” ที่มันกำลังเกลื่อนกลาดอยู่ในสังคมขณะนี้ เราจะนับว่าบุคคลเหล่านี้ จะเป็น “นักข่าวพลเมือง” ซึ่งมีหน้าที่นำเสนอความจริงอย่างรวดเร็ว ฉับไว ตามนิยามที่เราเข้าใจกัน
        ได้ หรือ ไม่ ?!

22 มกราคม 2554

ผลัด (กลอนสุภาพ)

        สนธยาสาละวนอลหม่าน              ตะวันคลานลงดินสิ้นฤทธิ์แสง
ไร้ซึ่งสายสุริยันวันสีแดง                       พระจันทร์แต่งขอบฟ้ายามราตรี
        มัวมนอนธกาลงานสร้าง                 เลือนรางสายตาตามวิถี
แวดล้อมเต็มไปด้วยไพรี                          พวกที่จะมาประทุษร้าย
        บางคนต้องตื่นเช่นกลางวัน               ไม่ทันได้ฝันให้แหนงหน่าย
โอ้ผีเสื้อกลางคืนทั้งหญิงชาย                     ก็กรีดกรายปีกบินสิ้นทุกนาม
        ดำเนินชีวิตประสิทธิ์ประสาท             ไปตามราษฎร์วิถีไม่มีถาม
ประกอบการกิจคล่องถึงสองยาม                บ้างถึงสามใกล้รุ่งฟุ้งแสงฟ้า
        สลับเวรผลัดคนกลางวัน                 ตื่นบ้างให้ทันพบเจอหน้า
พลิกผลัดเวรเป็นสลับละลานตา                 คือชีวาคนทำงานอย่างแบบไทย

25 มกราคม 2555

ความเงียบ (กลอนสุภาพ)

        ไม้เด็ดเม็ดท้ายของหลายสิ่ง          ที่รุ่งริ่งสัมพันธ์ผันสลาย
ใกล้ที่มันสั้นลงคงคลอนคลาย                และสูญหายตายไปจากทรงจำ
        บางคนเลือกใช้วิธีบอก                  เพื่อต้องตอกถ้อยความพล่ามพูดพร่ำ
ตัดสัมพันธ์ให้ดับกระทืบซ้ำ                     ให้คนเจ็บและช้ำซ้ำซากกัน
        วิธีหนทางต่างหลายหลาก               เป็นอันมากตัดรักจักผกผัน
อุทาหรณ์เพิ่มขึ้นทะมึนครัน                     ได้แต่รอวันของตัวเรา
        แต่ว่าวิธีอะไรเอ่ย                          ซึ่งจะเฉลยเร็วกาลเข้า
นิ่งทั้งปากทำหวามมิใช่เบา                       มิอาจจะคาดเดาในดวงใจ
        ทำอย่างนี้ต้องการอะไรแน่               จะเชือนแชแค่นี้ใช่หรือไม่
ชอบที่จะดับเทียนอันรำไร                        ให้มืดดับลงไปในเร็ววัน
        นั่งทำนายกันไปใจตกหล่น                สาละวนเวียนว่ายประคองมั่น
ไม่มีกำลังใจไปประจัน                             ซึ่งปัญหาสารพันที่โถมมา
        นี่หรือคำตอบที่ควรเป็น                   มันเหมือนดังเช่นกับหินผา
ไม่มีเสียงสิ่งใดจะหลุดมา                          เว้นว่าเราจะชนเจ็บเอง
        จะเอากันอย่างนี้ก็เอาเถิด                 คิดว่าเลิศยังไงให้รีบเร่ง
หรือจะทนไปได้สักกี่เพลง                         ทนวังเวงกี่น้ำก็นับเอา
        แต่นี่มันลางยิ่งกว่าชัด                      จะเกิดพิบัติกระไรเล่า
สุดแท้แต่ความคิดของเรา                         จะคาดเดาอย่างไรก็เกินคน
        นี่คือคำขอที่สุดท้าย                        ก่อนจะแอบไปตายอย่างล่องหน
หลีกหนีความคิดสัปดน                            ออกจากโลกพิกลกันเสียที
        จะเงียบอย่างนี้อีกนานไหม              เงียบต่อไปไม่ว่าสิทธิ์เธอนี่
ถ้าความเงียบตัดได้ซึ่งไมตรี                     ตั้งแต่นี้...ต่อไป...เราเลิกกัน !!

23 มกราคม 2555

ขอโทษ !! (กลอนสุภาพ)

       เสียงที่แหบแห้งหอนแลห้วน          โหยหวนครวญหาตาสลด
น้ำตาทุกหยาดที่ราดรด                        ก็ไม่หมดซึ่งคำพรรณนา
        อันเป็นเรื่องของนามธรรม               เวลาคนคร่ำเคร่งครวญหา
สายชลท่านได้แต่ใดมา                           ออกจากเบ้าตาของข้าเอง
        น้ำตาใสใสไหลเป็นทาง                   พยายามทำอย่างคนอวดเก่ง
สุดท้ายก็ต้องร้องเป็นเพลง                       หว่าเว้คว้างเคว้งหมดทางไป
        สุดสลดหดหู่ดูตัวเรา                       ได้แต่เศร้านอนซบสลบไสล
ก็เรื่องเรากับเขาหรือกับใคร                      ทำให้ต้องทุกข์จนลุกลาม
        ร้อนเป็นไฟไปบ้างในตอนแรก            เผาหัวใจใกล้แตกเป็นเสี่ยงสาม
เมื่อไฟหมดจึงรู้ว่าวู่วาม                            เปลวสีครามมอดลงจงเก็บทิ้ง
        หมดมานะอริพิชิตมัน                      หมดเวลากั้นทำเป็นหยิ่ง
หมดโกรธโลดแล่นจนใจจริง                       หมดทุกสิ่งลบล้างไปจากใจ
        เหลือแต่ใจกลางที่ว่างเปล่า                พร้อมรับเอาเข้าซึ่งสิ่งใหม่
อยู่แต่ว่าเรารับอะไร                                จงคิดเป็นไทแต่เพียงตัว
        อัญชลีวันทาอาละวาด                     ที่เกรี้ยวกราดฟืนไฟใส่ถ้วนทั่ว
สาดคำด่าราดรดเร่งระรัว                          ไม่มีกลัวตอกกลับให้ยับแพ้
        เมื่อหมดไฟอาละวาดก็คลาดคล้อย       ได้แต่ความเศร้าสร้อยมาเป็นแน่
เริ่มใจเขาใจเราเราเริ่มแคร์                        อยากรู้แค่ว่าเราทำทำไม
        เธออยู่ที่ไหนในพื้นโลก                     ที่เธอโศกอกตรมระทมใหญ่
เพราะฉันแท้แท้ไม่ใช่ใคร                           อยากจะอยู่ไกล ๆ จากตัวเธอ
        ขอโทษนะที่ทำให้เธอแย่                    ไม่เคยแคร์อารมณ์มัวแต่เผลอ
ทิ้งสัมพันธ์ที่ดีเคยออเออ                            จนตัวฉันต้องเพ้อทั้งเช้าเย็น
        ไม่หวังผลใดให้ไหวหวั่น                      ไม่หวังอะไรเอามาเซ่น
ขอเพียงเธออยู่อย่างที่เป็น                           เพียงเช่นแต่ก่อนจรมาพบ
        เหมือนไม่คุ้นเคยรู้จักกัน                      ทั้งที่เคยแล้วมันก็จบ
ประวัติศาสตร์คลาดเคลื่อนให้เลือนลบ             แล้วต้องกลบมิดชิดสนิทกัน
        ต่างคนต่างอยู่กันเถอะนะ                  หมดซึ่งมานะอันกระสัน
หมดห่วงหาอาลัยทุกสิ่งอัน                         ส่วนตัวฉันนั้น...กลั้นใจตาย !!

25 มกราคม 2555

“บาง” (กลอนสุภาพ)

        อันคำบางนามนี้มีหลายนัก             มีบางรักบางน้อยและบางใหญ่
บางคูวัดบางคูลัดบางตะไนย์                   บางขุนไกรบางเมืองและบางพลี
        บางศรีเมืองบางพลวงและบางปู       บางลำพูบางประทุนบางขุนศรี
มีบางม่วงบางบัวบางคนที                      บางกระดี่บางสวนและบางยาง
        บางขนากบางปรอกและบางบ่อ       มีบางอ้อบางแก้วและบางขวาง
บางกระทุ่มบางกรวยและบางคาง             บางโพงพางบางตะบูนและบางชัน
        บางน้ำผึ้งบางมดและบางเขน          มีบางเลนบางกะจะบางสวรรค์
มีบางพูดบางพึ่งบางระจัน                      บางกระสั้นบางขันและบางเทา
        บางสะพานบางจานและบางจาก       บางมูลนากบางขามและบางเม่า
บางกะปิบางเบิดบางกระเบา                   บางกระเจ้าบางเตยและบางคล้า
        บางลูกเสือบางบุตรบางคอแหลม      มีบางแขมบางหลวงบางตาล่า
บางเสาธงบางโฉลงและบางนา                บางปลาม้าบางพูนและบางไทร
        บางหัวเสือบางบอนและบางแสน    มีบางแตนบางปิ้งบางไส้ไก่
บางขุนเทียนบางละมุงและบางไกร         บางกอกน้อยบางกอกใหญ่และบางซ้าย
        บางปะกอกบางปะแก้วและบางกล่ำ    บางระกำบางแคบางแม่หม้าย
บางปลาร้าบางวัวและบางลาย                  มีบางฝ้ายบางเกตุและบางปลา
        บางนางเกร็งบางกะพ้อมและบางเหนียว บางน้ำเปรี้ยวบางแวกและบางป่า
บางบำหรุบางครุและบางงา                     มีบางหว้าบางกล้วยและบางมัน
        บางสะแกบางแพและบางซื่อ            บางกระบือบางซ่อนบางปะหัน
บางกระสอบบางบัวทองบางอำพันธ์            บางยี่ขันบางขวัญบางกะดี
        บางขุนพรหมบางตาเถรบางหญ้าแพรก บางนกแขวกบางน้ำจืดและบางหมี
บางแขยงบางแขยดบางธรณี                      มีบางคลีบางดีและบางไทย
        บางทะลุบางกุฬาบางเชือกหนัง           มีบางปรังบางครั่งและบางไผ่
บางปะกงบางกร่างบางพรไทร                บางโพธิ์เหนือบางโพธิ์ใต้และบางเนียง
        บางจะเกร็งบางพระบางระโหง       มีบางโปรงบางเสด็จและบางเหวียง
บางปะอินบางพลูบางคูเวียง                      มีบางเพรียงบางแม่นางบางปลานัก
        บางกลางท่าวบางปลากดและบางหอย  บางปลาสร้อยบางโพและบางสัก
บางเดือนสถิตย์บางปิดและบางลัก            มีบางจักบางมะเดื่อบางเสือตาย
        บางโทรัดบางพลัดและบางบาล        บางกระดานบางกุ้งและบางฝ้าย
มีบางกลักบางลี่และบางควาย                 มีบางทรายบางครามบางน้ำชน
        บางน้ำเชี่ยวบางตลาดบางนมโค      บางยี่เรือบางยี่โทบางยี่หน
บางตีนเป็ดบางขนุนบางขุนนนท์            มีบางปรนบางเบนและบางเคย ฯลฯ
        ยังมีคำบางอีกอันมาก                 หลายหลากก็สุดจะเฉลย
ทั่วประเทศเขตคามก็เกินเลย                แม้นไม่มีแม้เคยก็ขออภัย

23 ธันวาคม 2554

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เปิดศักราชใหม่ “ไล่ ผอ.” “อุดรพิทย์” นำร่อง ชูธงน้ำเงิน-ชมพู “สู้อธรรม”


“อุดรพิทย์ สถาบันการศึกษา
สูงสง่าทั้งวิชา เกียรติและวินัย 
อุดรพิทย์ ชื่อสถิตทั่วแดนไกล
เกียรติกำจาย ก้องอยู่คู่ธานี
หากปัจจามิตร คิดกล้ามาราวี
ชีพยอมพลี เพื่ออุดรพิทยานุกูล
โบกปลิวไสว ใจเรามั่น
ร่วมกันเรารักสามัคคี
น้ำเงิน-ชมพูชูศักดิ์ศรี
อันเป็นที่รักยิ่งกว่าสิ่งใด
อุดรพิทย์ เรามีจิตอันสดใส
สร้างเกียรติไว้ ให้คงอยู่คู่อุดร...

        เพลงมาร์ชปลุกใจของโรงเรียนประจำจังหวัดอุดรธานีที่มีชื่อว่า “โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล” ดังกระหึ่มไปทั่วท้องถนนในตัวเมืองอุดรธานี ในวันที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมา แต่จะดังเพราะเหตุใดนั้น ไปดูกัน...

        ผมเพิ่งได้ยินข่าวนี้เมื่อวันที่ผมได้กลับมาจากวันที่เสร็จสิ้นค่าย รด. จึงได้ศึกษากรณีนี้ก่อนที่จะนำมาเขียนเป็นบทความเพื่อแสดงถึงเหตุการณ์ล่า สุดซึ่งได้เกิดขึ้นในการเคลื่อนไหวของขบวนการนักเรียนมัธยมศึกษา และถือว่าเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์แรกในปี 2555 นี้

        โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดอุดรธานี มีชื่อย่อว่า อ.พ. เดิมเป็นโรงเรียนชายล้วน คู่กับโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดซึ่งก็คือโรงเรียนสตรีราชินูทิศ หรือ ร.น. ปัจจุบันเป็นโรงเรียนสหศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ มีนักเรียนเข้าเรียนประมาณ 5,000 คน ซึ่งโรงเรียนอุดรพิทยานุกูลแห่งนี้ ถ้าเราจะเรียกเป็นภาษาปากตามที่คนอุดรเรียกกันก็จะเรียกว่า “อุดรพิทย์”
        อุดรพิทย์ได้ก่อตั้งขึ้นมาเป็นเวลาหลายสิบปี จึงเป็นโรงเรียนเก่าแก่ มีศิษย์หลายคนเรียนจบออกไปเป็นศิษย์เก่าและได้สร้างคุณงามความดีต่อสังคมและ ประเทศชาติเป็นจำนวนมากมาย
        อุดรพิทย์ได้ผ่านวันและคืนมามาก และผ่านการบริหารจากครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ และผู้อำนวยการมากมาย มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นอันมาก จนกระทั่ง...
        อุดรพิทย์ได้เข้ามาสู่เอื้อมมือในการบริหารของ “นายวันชัย วิเศษโพธิศรี”
        นายวันชัย เข้ามาเป็นผู้บริหารของอุดรพิทย์มาตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา เป็นเวลาเพียงแค่ 4 เดือนเท่านั้น ก็ถูกทางครูและนักเรียนกล่าวหาว่าได้กระทำการอันไม่เหมาะสมต่อหน้าที่การ เป็นผู้อำนวยการ และในที่สุด ก็ถูกนักเรียนตกลงปลงใจดำเนินการ “ขับไล่” เพื่อเอาคน ๆ นี้ออกไปจากรั้วของอุดรพิทย์

        การชุมนุมได้เกิดขึ้นในวันที่ 27 มกราคม หรือวันพฤหัสบดีที่แล้ว นักเรียนของอุดรพิทย์ทั้งโรงเรียน นำโดย 
นายเศรษฐ์นัย กองอุดม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี 6/3 นายศุภกิจ รวมธรรม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี 5/1 เป็นแกนนำนักเรียน
และ บรรดาศิษย์เก่ารุ่นต่าง ๆ โดยเฉพาะรุ่น 14 ซึ่งนำโดยนายสิทธิชัย อึ้งพรหมบัณฑิต ประธานรุ่น ซึ่งขณะนี้ประกอบอาชีพเป็นทนายความ ได้จัดการชุมนุมภายในโรงเรียน มีการปราศรัยด้วยถ้อยคำที่เผ็ดร้อน รุนแรง เรียกเสียงปรบมือจากนักเรียนและศิษย์เก่าเป็นจำนวนมากกระหึ่มไปทั้งโรงเรียน ประกอบการเปิดเพลงมาร์ชของโรงเรียนเพื่อปลุกใจผู้ชุมนุมทุกคนตลอดเวลาการ ชุมนุม
        นายสิทธิชัย ได้กล่าวถึงการที่จะต้องมาชุมนุมขับไล่ผู้อำนวยการในครั้งนี้ว่า นายวันชัย ได้เข้ามาบริหารอุดรพิทย์เพียงไม่กี่เดือน ก็ได้สร้างความวุ่นวายและความแตกแยกในโรงเรียนเป็นอย่างมาก มีการเล่นพรรคเล่นพวก ทำให้ครู นักเรียน และศิษย์เก่าได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ทั้งในเรื่องของความไม่โปร่งใสในการสร้างโดมมูลค่าจำนวน 17 ล้านบาท การซ่อมโรงฝึกงานช่างพื้นฐานมูลค่าจำนวน 2.9 ล้านบาท รวมไปถึงการ “อม” แป๊ะเจี๊ยะที่เรียกรับจากเด็กนักเรียนที่ฝากเข้าแล้วเงินส่วนนี้กลับหายไป อีกทั้งการนำครูสอนไปดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการซึ่งกลายเป็นว่าผู้อำนวยการ ที่แต่งตั้งขึ้นมาใหม่นี้กลับมีอำนาจมากกว่ารองผู้อำนวยการที่มีอยู่เดิม ด้วยซ้ำ เหตุนี้เองจึงต้องแสดงพลังเพื่อขับไล่ตัวการที่ทำให้อุดรพิทย์แตกแยก ออกไปจากโรงเรียนแห่งนี้
        การชุมนุมของนักเรียนและศิษย์เก่าของอุดรพิทย์ เริ่มจากโรงเรียน และได้นำขบวนออกไปเดินขบวนตามถนนสายต่าง ๆ ในเขตเมือง ผ่านทุ่งศรีเมือง จนสุดที่ศาลากลาง แล้วจึงได้ทำการยื่นหนังสือต่อนายแก่นเพชร ช่วงรังสี ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เป็นอันเสร็จสิ้น ทั้งนี้ นายนพวัตร สิงห์ศักดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ได้ลงมารับแทน โดยที่สุดแล้วนายปราโมทย์ ภูมิพันธ์ ผอ.สพม.20 ซึ่งเป็นต้นสังกัดของอุดรพิทย์ ได้มีคำสั่งให้นายวันชัย ไปช่วยราชการที่ สพม.20 ไปพลางก่อนจนกว่าจะมีการสอบสวนเรื่องนี้เสร็จ

        นับเป็นการผิดความคาดหมายที่ผมไม่นึกว่าอุดรพิทย์จะเกิดการชุมนุมขึ้นจริง โดยผมไปคิดกับโรงเรียนชั้นนำของจังหวัดใกล้เคียง แต่โรงเรียนเหล่านั้นกลับไม่เกิดอะไรขึ้นตลอดปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในด้านการวิจารณ์อยู่บ้าง
        ต้องนับว่า “อุดรพิทย์” เป็นตัวอย่างประเดิมสำหรับการชุมนุมของนักเรียนมัธยมศึกษาแห่งแรกในปีนี้ และเชื่อว่าอีกไม่นาน การชุมนุมของอุดรพิทย์ซึ่งกลายเป็นข่าวดังในระดับภาคและประเทศไปแล้ว จะไป “จุดประกาย” ความหวังให้กับโรงเรียนต่าง ๆ ให้กล้าลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสิทธิ เสรีภาพ และผลประโยชน์ของส่วนรวม เชื่อว่า เหตุการณ์แบบอุดรพิทย์ จะเกิดขึ้นอีกไม่ช้านี้ ภายในเดือนสองเดือนนี้แหละครับ
        ขอชื่นชมจิตใจอันกล้าหาญของนักเรียนอุดรพิทย์ทุกคนที่กล้าประกาศว่าจะไม่ อยู่ภายใต้การบริหารแบบเหลว ๆ ของผู้อำนวยการคนนี้อีกต่อไป และขอเอาใจช่วยนักเรียนอุดรพิทย์ทุกคนให้ได้ความเป็นธรรมตามที่คาดหวังไว้ และกลับสู่สภาวะสงบร่มเย็น มีความสุขต่อไป
        “ต้องสู้” เท่านั้น อุดรพิทย์จึงจะ “ชนะ”
        ดังเพลงมาร์ชของอุดรพิทย์ตอนหนึ่งที่ว่า
        “หากปัจจามิตรคิดกล้ามาราวี...
        ชีพยอมพลีเพื่ออุดรพิทยานุกูล...!!”

2 กุมภาพันธ์ 2555