วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

“ยิ่งลักษณ์” กับสถานะ “คนสวยผิดเสมอ” หลังจากที่โดน “รุมโทรม” กรณี “ร้องไห้” ก็แค่ผู้หญิง “มีอารมณ์” ไม่ใช่คน “เลือดเย็น”

        ณ ตอนนี้ ผมไม่ปิดบังตัวเองอีกต่อไปว่าผม “เกลียด” ใครบางคน
        ณ ตอนนี้ ผมไม่คิดที่จะ “ญาติดี” กับคนที่พยยามจะด่าผมว่าเป็น “ไอ้เลว” อีกต่อไป
        ณ ตอนนี้ ผมไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว ถ้าใคร ๆ จะมองว่าผม...
        “วีนแตก”

        เป็นข่าวกันครึกโครมทั้งบ้านทั้งเมือง เมื่อสื่อสารมวลชนไม่ว่าจะเป็นข้างไหน ค่ายไหน นำเสนอภาพของนายกรัฐมนตรีหญิง “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ให้สัมภาษณ์ในสถานการณ์น้ำที่กำลังจู่โจม ศปภ. รอบทิศทางว่า
        “อยู่ตรงนี้ ต้องเข้มแข็ง ยืนยิ้มรับ และไม่ท้อ”
        แต่ที่เป็นประเด็นฮอตในระหว่างการสัมภาษณ์ ก็คือ น้ำตาได้ไหลลงมาจากเบ้าตาของนายกฯ จนสื่อหลายชิ้นด้วยกันนำไปเล่นเป็นประเด็นว่า
        “นายกฯ ร้องไห้”      
        เท่านั้นละ ก็มี “ขาประจำ” ทั้งนักการเมืองประเภท “ช่องคลอดใกล้เสร็จ” ที่คอยตอดนิดตอดหน่อย รวมไปถึงสื่อที่ยังไง ๆ ก็จะไม่เผาผีกันอยู่แล้ว คอยซ้ำเติมด้วยบทความที่เป็นไปในแง่ลบ
        จุดร่วมของคนพวกนี้คือทำให้เห็นว่านายก “อ่อนแอ”
        อดีตนายก”อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กล่าวถึงกรณีนี้ว่า อยากให้นายกรัฐมนตรีมีความเข้มแข็งมากกว่านี้
        ตัวหัวหน้าอาจจะอยากรักษาภาพ “คนดี” ไว้ จึงพูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ แต่ตัวลูกน้องสิ “ไปไกล”
        “ลาออกไปซะ ถ้าแก้ไม่ไหวก็ลาออกไป”
        “ถ้าห่วงบ้านเมืองจริง ก็ควรเปิดโอกาสให้คนอื่นขึ้นมาทำหน้าที่แทน”
        ฯลฯ
        แค่นี้ ก็เห็น “ความกระสันหมั่นอยาก” ของคนพวกนี้แบบไม่ปิดบัง

        มีหลายประเด็นเหลือเกินที่ผมจะอธิบายเหตุการณ์นี้ ว่าทำไมคนพวกนี้จึงยังไม่เลิกที่จะเอาส้นตีนราน้ำในขณะที่ทั้งบ้านเมือง กำลังแข็งขัน (จะว่าแข่งขันก็ได้เพราะว่ามีแต่คนแย่งกันทำงาน) กันเต็มที่ในการแก้ปัญหา และมีหลายแง่มุมที่ผมอยากจะให้เห็นถึงปฏิกิริยาของฝ่ายต่าง ๆ ต่อเรื่องนี้
        เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนมากว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังมีความปรารถนาอย่าง แรงกล้าที่จะเป็นรัฐบาล โดยผ่านช่องทางต่าง ๆ ซึ่งมีความต่อเนื่องมาตั้งแต่ยังตั้งรัฐบาลกันไม่เสร็จ
        คือ นอกจากจะไม่ยอมรับผลความพ่ายแพ้ของตัวเองแล้วยังไม่ให้โอกาสคนอื่นขึ้นมาบริหารอีก
        ทำกันง่าย ๆ ตั้งแต่กรณีนโยบายงาน โครงการต่าง ๆ แม้กระทั่งเรื่องส่วนตัว อย่างเช่น การเป็นภรรยานอกสมรส รองเท้าบู๊ตที่ใส่ไปลุยงาน ก็ยังไม่เว้น
        คนพวกนี้พอพูดอะไรขึ้นมาแล้ว เวลารู้ทั้งรู้ว่าผิด เคยคิดที่จะ “ขอโทษ” กันบ้างหรือไม่ ?!
        ผมเชื่อว่าคนพวกนี้ “ไม่มีสำนึก”
        เพราะไม่เคยขอโทษใครเลย ตั้งแต่ผมจำความตัวเองได้
        ในขณะที่รัฐบาลทำงานกันเพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วม ร่วมกับ กทม. ซึ่งตอนนี้ก็แทบจะไม่ขัดขากันแล้ว เพราะเห็นตรงกันว่า “น้ำมาแน่” ถ้ามัวแต่ตั้งแง่กันคงจะแก้ยาก จึงร่วมกันเพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้บรรเทาลงที่สุด
        ก็จะมีพวก “เสนียดบ้านเมือง” คอยจิกกัดตลอด แบบไม่ไว้หน้า
        อยากจะถามคนพวกนี้ว่า
        “พวกมึงว่างมากหรือยังไง ?!”
        งานของพวกมึงมีเยอะแยะไม่ทำ แต่ชอบที่จะด่าคนอื่นไปวัน ๆ
        คือ มีตำแหน่งเป็นโฆษก ก็มีหน้าที่แค่ “แถลง” ไปวัน ๆ เท่านั้นใช่หรือไม่ ?!
        คือ พวกมึงซื่อสัตย์ต่อตำแหน่งหน้าที่จนไม่ทำหน้าที่อื่นกันเลยใช่หรือไม่ ?!
        ถึงได้แต่ “ด่า” คนอื่น
        แล้วไม่ช่วยเหี้ยอะไรเลย !!

        สิ่งที่สื่อกระแสหลักไม่ยอมบอกความจริงกับพวกเราอย่างหนึ่งก็คือ น้ำท่วมในครั้งนี้มีสาเหตุอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้การแก้ไขของรัฐบาลเป็นไปอย่างยากลำบาก กล่าวคือ น้ำในเขื่อนภูมิพล จ.ตาก และเขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ ที่มีระดับสูงเกินกว่าหน้าฝนของทุกปีที่ผ่านมามาก ๆ จากการกักเก็บเอาไว้และปล่อยลงมาน้อย ๆ ซึ่งการเก็บกักน้ำที่มีความผิดปกติเช่นนี้อยู่ในระยะของรัฐบาลที่แล้วแทบ ทั้งสิ้น
        เหตุผลที่รองรับการกักเก็บน้ำเช่นนี้ ก็คือ การคาดการณ์ว่าแล้งนี้จะมีน้ำน้อย จึงต้องกักเก็บไว้ ซึ่งความจริง ฝนตกน้อยเพียงเฉพาะเดือนมกราคม กับเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้น จากเดือนมีนาคม ฝนก็เริ่มตกและกระหน่ำมาเรื่อย ๆ ในปริมาณที่หนักกว่าปีที่แล้วเป็นหลาย ๆ เท่า จนทำให้น้ำที่ไหลลงอ่างมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ๆ แต่ปรากฏว่าเขื่อนมีการปล่อยน้ำลงมาน้อยลง ๆ เรื่อย ซึ่งสวนทางกับหลักที่คนทั่วไปเข้าใจได้ หรือแม้แต่เด็กอมมือก็ยังรู้เลยว่าถ้าน้ำในเขื่อนเต็มก็ต้องมีการระบายออกมา ให้น้ำในในเขื่อนมีระดับปกติ และสามารถรับน้ำใหม่ได้
        ถ้าเรานำข้อมูลปีนี้ไปเทียบกับปีก่อน ๆ เราก็จะพบว่า จำนวนน้ำที่ลงเขื่อนทั้ง 2 แห่งมีจำนวนมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา แต่อัตราการระบายน้ำนั้นกลับสวนทางกัน นั่นคือ การระบายน้ำน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อเขื่อนรู้ว่ามีน้ำเกือบจะเต็ม จะปริ่มแล้ว และน้ำใหม่ก็ยังจะมาอีก ทีนี้ก็จะต้องระบายน้ำออกเป็นจำนวนมาก มิฉะนั้นแล้ว น้ำก็จะล้นเขื่อน ทำความเสียหายให้กับพื้นที่ด้านล่าง แต่เป็นการทำที่โกลาหล ไม่มีการวางแผน และปล่อยกันมาพร้อมกัน น้ำก้อนใหญ่ก็เลยเริ่มเข้าท่วมพื้นที่ใต้น้ำ เช่น อ.สามเงา อ.บ้านตาก จ.ตาก ในฝั่งของเขื่อนภูมิพล ส่วนในฝั่งของเขื่อนสิริกิติ์ ก็จะเป็น อ.น้ำปาด อ.พิชัย อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งเราจะพบข่าวในช่วงแรก ๆ พร้อมกับปัญหาดินโคลนถล่ม คนที่อยู่แถบนั้นได้รับผลกระทบเป็นกลุ่มแรก
        การปล่อยน้ำจาก 2 เขื่อนใหญ่พร้อม ๆ กัน ทำให้ภาคเหนือตอนล่างเกิดน้ำท่วมหนัก และตอนนี้น้ำก็อยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นส่วนใหญ่ ถ้าเราจะลองเขียนสถานที่ที่เราอยู่พร้อมวันที่ลงไปในถุงพลาสติก แล้วปล่อยให้มันลอยไปตามน้ำเรื่อย ๆ อย่างเช่น อยู่น้ำปาดก็เขียนน้ำปาด อยู่สามเงาก็เขียนสามเงา สักวันหนึ่งก็จะมีคนเก็บได้และถ้าเป็นข่าว เราจะรู้ว่าตอนนี้น้ำไหลไปถึงไหน เร็วหรือช้า (เว้นแต่จะไปติดต้นไม้สักที่ใดที่หนึ่งก็จบเห่)
        ข้อมูลเหล่านี้เป็นความจริงทั้งสิ้น หากท่านไม่เชื่อในสิ่งที่ใครต่อใครพูด ก็ลองไปค้นหาสถิติการกักเก็บน้ำในรูปแบบของตารางหรือแผนภูมิได้ที่เว็บไซต์ ของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กรมชลประทาน หรือ กฟผ. ซึ่งเป็นต้นสังกัดของเขื่อนทั้งสองแห่ง จะมีข้อมูลโดยละเอียดซึ่งเผยแพร่กันอย่างเป็นทางการ ทั้งการกักเก็บน้ำ การรับ การปล่อย เปอร์เซ็นต์เทียบต่าง ๆ ในแต่ละปี
        อีกอย่างหนึ่ง หากจะมองว่ารัฐบาลใดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ เราก็จะต้องดูขอบเขตและภาระหน้าที่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลให้ชัดเจน เราพบว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยสมบูรณ์ ผ่านการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในวันที่ 25 สิงหาคม ซึ่งการเก็บกักก็ยังเป็นในลักษณะนี้อยู่ จนกระทั่งเดือนกันยายนจึงมีการปล่อยน้ำมาครั้งใหญ่ ดังนั้น เหตุการณ์ส่วนใหญ่จึงอยู่กับรัฐบาลที่แล้ว
        เพราะฉะนั้น ผู้ที่ต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบสาเหตุของน้ำท่วมในครั้งนี้ นอกจากเป็นรัฐบาลนี้แล้ว ก็คือ “รัฐบาลชุดที่แล้ว”
        คือ อย่ามาพูดกันรายวันให้รัฐบาลต้องรับไปร้อยเปอร์เซ็นต์เลยครับ มันเป็นไปในทำนองที่ว่า “กูไม่มีหน้าที่เป็นรัฐบาลแล้ว จะรับผิดชอบส้นตีนอะไร” ซึ่งเป็นความคิดที่น่าเกลียด เหมือนเวลาไปข่มขืนผู้หญิง แล้วโดนจับติดคุก บังเอิญหญิงผู้โชคร้ายท้องแล้วมีลูกออกมา จะอ้างว่าไม่ต้องรับผิดชอบเพราะอยู่ในคุก ไม่มีวันจะเจอหน้าลูก ไม่ได้
        โดยสรุป คือ พรรคประชาธิปัตย์กำลังปกปิดความจริงในสาเหตุที่ทำให้น้ำท่วม ด้วยการเล่นเกมการเมืองต่าง ๆ นานา และก็ปัดให้ความรับผิดชอบไปตกอยู่กับรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว
        สำหรับ “สลิ่ม” ทั้งหลาย ที่ออกมาสร้าง “นิยายหลอกเด็ก” ไปต่าง ๆ นานาว่านายกฯ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ รวมทั้งตอดเล็กตอดน้อยเรื่องหยุมหยิมในเฟซบุ๊ค อันนี้ถือว่าเล่น “ไม่แฟร์” เพราะในขณะที่แม้จะจัดการบริหารกันไม่เข้าท่าอย่างไร ก็ยังมีการแก้ไขปัญหากันจนแทบจะไม่ได้นอน วัน ๆ นอนกัน 2-3 ชั่วโมง จะมีเวลาไหนไปแต่งหน้าแต่งตาจนไปปรากฏบนภาพฉาวต่าง ๆ นานาละครับ
        เพราะฉะนั้น ภาพที่พยายามจะเอามาหลอกประชาชนว่า นายกฯ หนีเที่ยว นายกฯ เมาแอ๋ไม่ทำงาน จึงเป็นภาพที่ขัดแย้งที่สุด เพราะตั้งแต่น้ำท่วม หน้าของนายกฯ ก็ดูโทรมลง ๆ ทุกวัน สรุปได้เลยว่า แก่ลง ผิดกับภาพที่เอามาหลอก เพราะภาพนั้น “สดใส” กว่า
        ทีหลังถ้าจะเล่นก็ให้เนียน ๆ หน่อย กูจะได้คล้อยตามพวกมึงไปง่าย ๆ ไม่ใช่เล่นให้กูจับได้แล้วก็ใส่ความกันแบบนี้
        คือ ถ้าไม่คิดที่จะช่วยทำให้บ้านเมืองดีขึ้นก็อย่าโผล่หัวออกมาเลย
        ชอบด่าเหลือเกินว่ารัฐบาลป้องกันกรุงเทพฯ ไม่ได้ แล้วเป็นไง ตัวเองหนีไปเที่ยวเกาะ เที่ยวแก่ง เล่นน้ำตก สูดอากาศบนดอย สบายใจเฉิบ
        ยังไงล่ะ ?!
        คือ ถ้าจะอ้างว่ารัฐบาลเล่นเกมการเมือง เลือกพวกเลือกพ้อง ก็ลองดูตัวเองว่า “เล่นการเมือง” อยู่หรือเปล่า ถ้าจะให้รัฐบาลหยุดเล่นการเมืองแล้ว ตัวเองก็ต้องหยุดด้วย
        คือไอ้ “สองมาตรฐาน” นี่ผมว่าพอ ๆ สักทีเถอะครับ
        แล้วถ้าจะอ้างว่านายกฯ หนีงานไปอะไรต่อมิอะไรนั้น ก็อยากจะถามว่า แล้วผู้นำฝ่ายค้านละครับ...
        หนีไปเที่ยว “มัลดีฟส์” โดยอ้างว่าไปดูงาน แล้วเป็นไง ไม่มีอะไรจะเสนอ จะชี้แนะรัฐบาลเพราะไม่ได้ไปเพื่อการนั้นจริง
        “ควงเมียเที่ยว” ก็บอกมาเถอะครับ ?!
        ทีน้ำท่วมในสมัยตัวเอง อันนี้ชัดยิ่งกว่าชัด ในขณะที่น้ำกำลังท่วมสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตัวเองกลับไปเที่ยวพักผ่อนเกาะสมุยแบบไม่สนใจใคร
        อย่างนี้จะเรียกว่า “หนีหน้าที่” ได้หรือเปล่า ?!
        ขนาดมีหน้าที่ยังหนีหน้าที่เลย
        พอตัวเองไม่มีหน้าที่ จะดิ้นรนหาหน้าที่ มันงงไหมล่ะ ?
        เวลาจะมองต้องมองให้หลากหลายครบถ้วนด้วย ไม่ใช่ว่ามาปิดตาตัวเองข้างหนึ่งแล้วก็นั่งเทียนว่ากันไปตามประสาคนกิน “เกาเหลา” กันทั้งปีทั้งชาติ
        เป็นพวก “ปลาทอง” ความจำสั้นแม้กระทั่งชั่วครู่เดียวก็ลืมแล้วว่าตัวเองทำอะไร

        เอาละครับ ผมไม่เถียงว่า ศปภ. ดีจนไม่มีที่ติ เรื่องผิดพลาดก็มี เช่น การให้ความช่วยเหลือไม่ถึง การเก็บกักของบริจาคไว้ แต่ในเรื่องเสื้อผ้า ที่มีบางส่วนขนย้ายไม่ทันจนน้ำท่วม ผมก็เห็นว่าจะต้องชี้แจง เพราะไม่งั้นคนที่มองความเพียงด้านเดียวก็จะได้ใจเอาไปขยายความว่าจะเอาไป ใช้เอง
        คือ เสื้อผ้าที่บรรดาคนบริจาคนั้น มีทุกรูปแบบ ที่ดี ๆ ก็มี และส่วนที่เก่า ๆ มือสอง สภาพเยินมาก ก็มีเช่นเดียวกัน บางคนที่ไม่ถูกใจ หรือพังพาบแล้วก็เอามาบริจาค ทาง ศปภ. ก็แน่นอนที่จะต้องพิจารณาว่าเสื้อผ้าชุดไหนควรส่งไป อันไหนดี อันไหนเสีย เพราะไม่งั้นก็จะถูกโจมตีจากพวก “ตีปลาหน้าไซ” ว่า แจกของเสื่อมคุณภาพให้กับประชาชน หรือประชาชนก็จะด่าว่าเอาอะไรมาให้
        ก็ทีรัฐบาลตัวเอง เอาปลากระป๋องเน่า ข้าวสารมอดราไปให้ เขาด่ากันทั้งประเทศ
        “สลิ่ม” เงียบตาปริบ ๆ
        ไม่รู้ “ส้นตีน” ติดคอหรือเปล่าถึง “พูดไม่ได้” ครับ ?!
        ขอร้องเถอะครับว่าอย่าพยายาม “แกล้งโง่” หรือ “ความจำสั้น” อย่างมีมารยาแอบแฝง เพราะถ้าคนเราพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวหรือปั้นเรื่องมาพูด มันก็จะมีแต่เรื่องโกหก จนทำให้ไม่เข้าใจกัน สุดท้ายก็จะตีกันตาย
        ก็เพราะเรื่องเหี้ย ๆ พวกนี้ละมั้ง นายกฯ ถึงน้ำตาไหลออกมาเป็นนัยว่า “ทำไมคนไทยไม่รักกัน” ให้บรรดาสลิ่มประจานความโฉดเขลาในภูมิปัญญาของตัวเอง
        เขาชอบพูดกันว่า “น้ำลดตอผุด”
        แต่ขอโทษนะครับ ยามนี้แล้ว
        “น้ำท่วม” ตอก็ “ผุด”

        ที่นายกฯ ต้องน้ำตาไหลออกมา ถึงแม้จะถูกก่นด่ากันแบบ non-stop ว่า “อ่อนแอ” และโดนโจมตีว่าไม่มีความสามารถ บางทีถึงขั้นไล่ให้ “ไปเกาะผัวแดก” ก็มี ผมมองในแง่ดีครับว่าที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ยังแสดงว่านายกฯ หญิงคนนี้ มี “หัวใจ” มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือน ๆ กับคนทั่วไป
        เพียงแต่ว่าเกิดปัญหาอะไร จะไม่กระตู้วู้กรี๊ดวี้ดว้ายกันให้เอิกอึงกันเป็นข่าวคราวเท่านั้นเอง
        นี่ขนาดไม่ออกมาตอบโต้ตามเกมยั่วแล้ว ก็ยังโดนหาว่า “ไม่กล้าสู้ความจริง” ขนาดสื่อถามยังหนี ไม่กล้าตอบ แล้วจะนับอะไรกับการบริหารประเทศที่ไม่มีอำนาจที่แท้จริง
        ถ้าเกิดว่าทนไม่ไหว ไปเล่นเกมตามน้ำคนพวกนี้ละก็ ก็จะโดนหาว่า “ต๊ายยยย...นายกฯ วีนแตก ไม่มีความอดทนอดกลั้น ไม่เข้มแข็ง แล้วจะบริหารประเทศที่มีปัญหาผ่านไปได้ยังไงล่ะ
        มึงจะบ้ารึยังไงหะ ?!
        ฟังชัด ๆ ไอ้พวกตีปลาหน้าไซทั้งหลาย กูรู้ตับไตไส้พุงพวกมึงหมดแล้ว !!
        คือ ธงที่คนพวกนี้ปักไว้ ก็คือ เอานายกฯ ออกไปให้ได้ โดยดักไว้ทุกเกม ดักทุกหน้าที่จะออกมา แล้วก็หาช่องที่จะโจมตีให้ได้ ซึ่งเป็นเกมที่น่าเกลียดมาก และมาเล่นกับผู้หญิงแบบนี้ เชื่อว่าเป็นผู้หญิง ใครจะยอมให้เล่นกันแรง ๆ แบบนี้ละครับ
        คงมี “สลิ่ม” ที่ยอมให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
        เพราะถ้าผู้หญิงคนนั้น “พวกตัวเอง” จะให้ลากไปเข้าป่าฆ่าหมกกันต่อหน้าก็คงไม่เป็นไร ไม่ต้องสงสาร
        เผลอ ๆ จะสมน้ำหน้ามันไปด้วยซ้ำ

        ก็ถือว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์อย่างหนึ่งที่นายกฯ เลือกใช้ ก็คือ ความมีอารมณ์ มีหัวใจเป็น “หัวใจ” รับรู้สิ่งต่าง ๆ หนักเบาเข้ามาและสนองตอบ อาจจะดราม่าไปบ้างก็แล้วแต่คนจะมอง แม้ผมจะไม่ได้ชื่นชอบจนกระทั่งจะกระโดดเข้ามาแก้ต่างแทนก็เถอะ แต่ในฐานะอิสระชน ผมมองว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์คนนี้ยังมีความเป็น “มนุษย์” อยู่เต็มตัว
        ไม่เหมือนกับบางคน
        ต่อให้มีการฆ่า สังหารหมู่ประชาชนกันดังลั่นทั้งบ้านเมือง ตัวเองสั่งแท้ ๆ กลับสามารถเดินลอยชายอยู่ในสังคมได้โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร แถมคำขอโทษแม้แต่คำเดียวก็ไม่มีหลุดออกมาจากปาก ไม่ว่าจะจงใจ หรือเผลอพูด
        “เลือดเย็น” แท้ ๆ
        คนอะไร “ไร้หัวใจ” แถม “เย็นชา” ไม่รู้สึกอะไรเลย กับการที่มีประชาชนตายกลางเมืองเกือบร้อยศพ
        ผมเห็นแล้วว่ามุกร้องไห้ทั้งคืนที่พยายามจะปั่นกระแสให้แม่ยกน้ำตาไหลปก ป้องสงสารนั้น มันก็แค่ “เกมมายา” ชนิดหนึ่งที่ “หลอกคน” ให้เชื่อได้เกมหนึ่งเท่านั้น
        เพราะถ้าร้องไห้ทั้งคืนด้วยจิตใจที่จะหยุดเหตุการณ์ฆ่ากลางเมืองจริง วันรุ่งขึ้นต้องสั่งทหารให้หยุดให้ได้สิครับ ทำไมต้องหนีไปกลางสมรภูมิด้วย
        “ไอ้สันดาน”

        ผมเขียนแล้วก็นึกถึงเพลงที่ออกมาต้นปีนี้อยู่เพลงหนึ่ง เป็นเพลงของแอม ฟายน์ ที่ร้องแสดงความคับแค้นใจของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่หน้าตาไม่ดี จนแฟนทิ้งไปมีผู้หญิงคนใหม่ จนต้องไปทำศัลยกรรมเพื่อทำให้ตัวเองสวย เพื่อจะให้แฟนกลับมารักเหมือนเดิม
        หาไม่ แฟนรู้ตอนนอนกันเสร็จแล้วว่า “เป็นเธอนั่นเอง” ก็หนีไปเช่นเดิม
        ใช่ “คนไม่สวยผิดเสมอ” นั่นเอง
        แอม ฟายน์ สะท้อนคำพูดคำร้องได้ตรงใจมาก เพียงแค่วลีสั้น ๆ ที่ปรากฏในชื่อเพลงก็สามารถสื่อให้เข้าใจได้ดี ตรง ชัดเจน
        “ก็คนไม่สวย ทำอะไรก็ผิดเสมอ ไม่เคยเข้าตา แค่เพียงคนธรรมดาที่มองผ่านไป จะมีบ้างไหม ใครสักคนที่จะเลือกมอง กันที่หัวใจ ที่เขาเต็มใจจะสวมกอด และรักที่ตัวจริง ที่ข้างใน”
        คือ จะเน้นว่าความรัก ไม่ใช่เพียงแค่หน้าตาดีแล้วก็จบกัน แต่ความรักนั้น มันต้องอยู่ที่ความเข้าใจ ธรรมในจิตใจ ความสวยไม่สวยก็แค่ของนอกกาย ถ้าสวยแล้วเลวก็ไม่น่าคบ จริงไหม
        คนบางคนยึดกันจนเป็นนิตย์เนืองว่า คนที่ชาติตระกูลสูง คนที่มีฐานะดีเป็นเศรษฐี คนที่หน้าตาดี หล่อเหลา สวยสด ย่อมมีสิทธิเหนือกว่าประชาชนทั่วไป จะให้เหนือกว่ากฎหมายก็ย่อมได้
        ดังนี้ถือว่าเป็นความคิดที่ “ผิด” แบบมหันต์ และส่งเสริมระบบความไม่เท่าเทียมกัน กดขี่ข่มเหงให้เพิ่มขึ้นในสังคมไทย ซึ่ง “สลิ่ม” ชอบเชื่อกัน จนเห็นประชาชนเป็น “หมาเชื่อง ๆ” ตัวหนึ่งที่มีหน้าที่รับของบริจาคยามน้ำท่วม
        คนพวกนี้จะมองว่าคนจน “ซื่อซื้อได้” สุดท้ายก็มีกำแพงทางวัฒนธรรมที่ขีดกั้นชนชั้นอื่นไม่ให้ดำเนินสิ่งที่ตน ดำเนิน ซึ่งมันก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับอินเดียที่มีระบบวรรณะเข้มแข็ง แต่กฎเกณฑ์ที่ไทยมีมันไม่ชัดเจนเป็นสภาพบังคับเหมือนที่โน่น ละครไทยเราจึงมีประเภทพระเอกนางเอกที่มีฐานะต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่ผู้หญิงจนก็ผู้ชายจะจน และถ้าไม่ผู้หญิงรวยผู้ชายก็จะรวย (หลัง ๆ จะมีประเภทผู้หญิงจนแต่ผู้ชายรวยกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะคนดูจะดูพระเอกหล่อ ๆ แล้วก็จะรอดูว่านางเอกจะรับกิริยาที่พระเอก “ป้อ” ยังไง นางเอกไม่มีสิทธิ์คิดประดิดประดอยอะไรเลย ต้องรอพระเอกอย่างเดียว)
        เพราะฉะนั้น ไม่ต้องคิดเลยว่าทำไมคนไทย กับคนอินเดีย จึงฝันถึง “ชาติหน้า” ว่าอยากจะเป็นผู้ชาย อยากจะหน้าตาดี อยากจะรวย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเข้าใจได้

        กรณีของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะเหมือนกรณีของผู้หญิงใน MV “คนไม่สวยผิดเสมอ” หรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่คิดว่าน่าจะคล้าย ๆ กัน เพราะไม่ว่าจะทำอะไร ก็จะโดนจับผิด เล่นงานตลอด แม้ทำดีก็จะโดนหาว่า “สร้างภาพ”
        กรณีนี้ คงจะต้องตัดคำว่า “ไม่” ออก นายกฯ อาจจะรำพันกับตัวเองด้วยความคับแค้นใจว่า
        “คนสวยผิดเสมอ”
        หรือ จะสวยหรือไม่สวยก็ผิดเสมอ เพราะ...
        เป็นน้อง “ทักษิณ ?!”

5 พฤศจิกายน 2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น