วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

'เพศที่สาม' วิถีชีวิตและความเชื่อภายใต้ 'มายา' ของสังคมที่ดันทุรังเรี่อง 'เพศสภาพ' โดย ก้อนอิฐ

        แต่ก่อนผมเป็นคนที่เคร่งครัดในระบบเพศหญิงเพศชายมาก จนมองว่าพวกที่แสดงตัวที่ผิดไปจากเพศของตัวเอง อันที่เขาเรียกกันว่า “เพศ ที่สาม” เช่น เกย์ เลสเบี้ยน ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในโรงเรียน ที่ทำงาน ชุมชน สังคม เป็นพวกจิตใจวิปริต ไม่รักเพศตัวเองที่พ่อแม่ให้มา ไม่มีความภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองมี และคิดเสียดายศักยภาพทางด้านเพศของคนพวกนี้แทน อีกทั้งเคยภาวนาว่าเกิดมากี่ชาติ ๆๆๆๆ ก็ขอให้เป็นผู้ชายทุกชาติ
        สรุป คือ มองเพศที่สามในด้านลบ ไม่อยากคบ รังเกียจ ขยะแขยง ด้วยความที่เชื่อว่า เพศที่มีอยู่ในโลก มีสองเพศเท่านั้น คือ “ชาย” และ “หญิง” และคนที่เกิดมาต้องซื่อสัตย์ต่อเพศที่พ่อแม่ให้มา
        แต่พอมาพบว่า จำนวนคนที่เป็นเพศที่สามโดยเฉพาะในโรงเรียนซึ่งเป็นสังคมประจำที่เราพบเจอ กันบ่อย ๆ ก็มีมากขึ้น และบุคคลเหล่านั้นหลายคนด้วยกันมีศักยภาพ มีความสามารถ จึงทำให้ผมพิจารณาตัวเองดูว่า อดีตเราทำอะไรไว้บ้าง และจึงเปลี่ยนความคิดเป็นตรงข้าม
        เราจะเห็นได้อย่างง่าย ๆ ว่าในสังคมไทยเชื่อว่าเพศมีเพียงสองเพศ ตาม “เพศสภาพ” คือ สภาพของสรีระเชิงโครงสร้าง แบ่งเป็นชายกับหญิง หากมีคนแหลมหน้าออกมาทำอะไรที่ผิดแผกกับธรรมเนียมด้านเพศละก็ ก็จะดูถูกเหยียดยาม ถูกประณาม ถูกนั่นถูกนี่ สารพัดนานา เอาจนให้อับอายเดินไปไหนมาไหนได้
        ในปัจจุบันสังคมไทยยังไม่มีการเปิดกว้างยอมรับเพศที่สามมากพอทั้ง ๆ ที่เพศที่สามมีจำนวนมากขึ้นทุกวัน ๆ เราที่อาจจะติดกับภาพที่ชนชั้นในสังคม “ตีกรอบ” ว่าเพศที่สามจะเป็นเช่นนี้ ๆๆ เอาให้จำง่าย ๆ ก่อนที่จะทำตัวขยะแขยงรังเกียจกันไปตามระเบียบ
        นอกจากนี้ยังมีการจัดมาตรฐานเพศที่สามที่จะได้รับการยอมรับจากสังคม เช่น ต้องเป็นผู้มีความประพฤติดี อย่างที่ “คำ ผกา” เขียนไว้ว่า ต้องเป็น “กุลกะเทย” จะต้องรำไทย ไม่แรด ไม่ร่านให้เป็นที่เปิดเผยต่อสังคม เป็นต้น
        จริงหรือไม่ที่โลกจะต้องถูกบังคับให้มีเพียงสองเพศ ?!

        มีปัจจัยอยู่หลายประการด้วยกันที่ทำให้บุคคลภายใต้เพศสภาพ (เพศตามสรีระ/อวัยวะสืบพันธ์) ต้องมีลักษณะการแสดงออกที่มีความตรงข้ามกับเพศสภาพของตัวเอง
        อย่างที่ต้องเข้าใจที่สุดอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ความผิดปกติทางพันธุกรรม อาจมีลักษณะยีนคู่ที่ 23 ผิดปกติ ขาดหรือเกิน จนกลายเป็น 45 หรือ 47 แท่ง เช่น XO,XXY,XYY เป็นต้น ตามที่เรา ๆ โดยเฉพาะเด็กวิทย์ที่ได้เรียนมาตอน ม.6 หรือเรา ๆ โดยทั่วไปที่เคยเรียนมาบ้างตอน ม.3 เราอาจจะเคยเขียนความน่าจะเป็นในการมีบุตรมาแล้ว โยงใยทั้งในเรื่องยีนเพศ ยีนโรค หรือลักษณะเด่น-ด้อย แบบเมนเดล
        มนุษย์บางคนมีเพศที่กำกวม จนเป็นปัญหาทางการแพทย์มาแล้ว ก็ต้องเลือกเพศสภาพที่เป็นไปได้มากกว่า เช่นมีองคชาตในขณะเดียวกันก็มีช่องคลอดด้วย ก็ต้องเลือกสภาพที่เป็นไปได้มากกว่า แต่เมื่อเติบโตมาก็อาจจะมีการแสดงออกที่ผิดแผกแตกต่างกับเพศสภาพ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าเพศสภาพไม่สามารถตัดสินการแสดงออกหรือรสนิยมทางเพศได้
        ทว่า นอกจากปัญหาทางพันธุกรรมแล้ว อีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นเหตุผลเกื้อกูลให้เพศที่สามเกิดขึ้น คือ การปฏิบัติตนของผู้นั้น
        ไม่มีหลักหรือทฤษฎีตายตัวครับว่าเพราะเหตุใดทำไมคนเพศหนึ่งจึงมีการแสดงออก ที่เป็นตรงข้ามกับเพศสภาพของตัวเอง แต่มันเป็นลักษณะเฉพาะตัวซึ่งแล้วแต่คนจะเลือกเอา
        แม้แต่ตัวเราเอง เราต้องยอมรับว่า ที่เราเป็นเพศชายเพศหญิงกันอยู่นี้ ก็ใช่ว่าจะมีความเป็นชาย เป็นหญิงแบบ “เต็มร้อย” นะครับ ขนาดชายก็ยังมีความแตกต่างกัน ทั้งในด้านร่างกาย ทั้งนิสัย บุคลิกภาพ คุณลักษณะ ซึ่งถ้าสิ่งเหล่านี้จะบังคับกันได้ละก็ มนุษย์ชุดนี้ก็คงจะไม่ต่างจาก “หุ่นยนต์” ที่บังเอิญ “มีลมหายใจ” นั่นเอง

        การดำรงอยู่ของเพศที่สามในสังคมไทยนับว่ามีปัญหาเป็นอย่างมาก เนื่องจากในสังคมมีคนที่เชื่อในเพศสภาพอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งคนพวกนี้จะว่าเป็นพวกหัวล้าหลังหรืออนุรักษ์นิยมก็ว่าได้ คือ ไม่ยอมรับความจริงแห่งโลก ไม่ยอมรับว่าปัจจุบันแห่งโลกมีความเป็นไปอย่างไร เปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน  
        คนเหล่านี้จะมองว่าเพศที่สามเป็นตัวกัดเซาะบ่อนทำลายวัฒนธรรมที่ดีของไทย เนื่องจากเชื่อในข้อมูลสำเร็จรูปที่ว่า เพศที่สามต้องเป็นแบบนี้ ๆ จนฝังใจ เช่น กะเทยจะต้องมีนิสัยแรด ร่าน จ้องจะจับผู้ชายกิน แล้วก็ลามไปถึงผู้ชายที่มีรสนิยมรักผู้ชายด้วยกันว่า วิปริต มีให้เอาไม่ชอบ
        ก็มีความแปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือ การดำรงอยู่ของ “ทอม” เลสเบี้ยนที่มีความเป็นชายในร่างกายผู้หญิง มักจะได้รับการยอมรับมากกว่า เพราะมีคุณสมบัติที่ห้าวหาญ ค่อนกระเดียดไปทางผู้ชาย
        คือ นอกจากสังคมจะไม่ค่อยยอมรับเพศที่สาม (โดยเฉพาะเกย์) แล้ว ยังยึดถือผู้ชายเป็นใหญ่อีกต่างหาก โดยเราจะยอมรับคน (แม้แต่ผู้หญิงทอม) ที่มีลักษณะคุณสมบัติความเป็นชายในวงการต่าง ๆ แต่ถ้าเป็นหญิง (ไม่ว่าชายเกย์หรือหญิง) ก็จะถูกนั่นถูกนี่ต่าง ๆ นานา ให้เสียเกียรติกันเป็นว่าเล่น
        การแปลงเพศไม่ว่าจะชายหรือหญิงถูกคนเหล่านี้ก่นด่าว่าทำให้สังคมเละเทะ เน่าเฟะ ปลูกฝังให้คนไม่รักเพศของตัวเอง
        อาชีพที่เป็นไปของเพศที่สาม ก็จะถูกคนพวกนี้เชื่อและพยายามขีดกรอบว่าต้องจำกัดว่าให้อยู่เป็นที่ ๆ เช่น ไม่รำไทย ร้อยมาลัย ก็ต้องไปเต้นรูดเสาอยู่แถวพัฒน์พงษ์ ทองหล่อ เอาให้สุดโต่งไปเลย ไม่ข้างหนึ่งก็อีกข้างหนึ่ง
        เวลาเพศที่สามจะคบใคร ก็ต้องเลือกคบแต่เพศเดียวกัน เช่น กะเทยคบเกย์ (รุก) ทอมคบเลสเบี้ยน (ดี้) จะผิดเป็นแบบอื่นมิได้
        สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็น “มายา” ชนิดหนึ่งซึ่งเราจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันไม่มีอยู่ เพราะความเชื่อแบบนี้ฝังตัวกันอยู่ทั่วไป สลิ่ม ไม่สลิ่ม ก็มีกันถ้วนทั่ว

        สลิ่มบางคน นอกจากจะมีความเชื่อวิปริตทางการเมือง เช่น ร่ำไห้กับเศษกระจกในห้างที่ตัวเองเดินเวลาโดนเผามากกว่าชีวิตคนที่ต้องตายไป อย่างไม่สมควรตาย การยึดอำนาจของทหารเป็นการรักษาประชาธิปไตย คนที่ออกมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมนั้นเห็นแก่เงิน ทำเพื่อคน ๆ เดียว โดยที่ไม่มองดูในใจของพวกเขาว่านอกจากนี้แล้วจะมีอะไรอีกบ้างที่เขาต้องการ ด่ารัฐบาลว่าไม่สามารถปกป้องกรุงเทพฯ จากน้ำท่วมได้ ด่าสาดเสียเทเสียว่าห่วยแตกแหลกลาญ
        ว่าแล้วก็ขอไปเที่ยวเชียงใหม่ ภูเก็ต ตามประสาคนอยากไป เหมือนไม่เดือดร้อนอะไร
        เรื่องเพศก็เช่นเดียวกัน สลิ่มอาจจะดูถูกเพศที่สามว่าทำให้สังคมเสื่อม พินาศ บางคนไม่ด่าตรง ๆ แต่แอบเนียน ๆ ก็เช่นรายการ “ตีสิบ” ที่มีแนวคิดรักษาขนบเพศสภาพไว้ โดยที่กัดจิกเพศที่สามอย่าง “ผู้ดี”
        กระแดะ ดัดจริต สลิ่ม ฯลฯ

        หารู้ไม่ว่า บุคคลสำคัญของสังคมไทยในด้านต่าง ๆ ก็มีเพศที่สามที่มีหน้ามีตาในวงการนั้น ๆ เยอะ เช่น คุณมดดำ คุณม้า และอีกมากมายที่เรา ๆ ก็รู้ เห็นกันอยู่ทุกวัน
        บางทีเพื่อนบ้านของเราก็อาจจะเป็นเพศที่สามก็ได้ ทั้งที่เรารู้ตัวและไม่รู้ตัว
        จึงไม่มีเหตุผลเลยที่คนเหล่านี้ (รวมทั้งเราด้วย) จะต้องรังเกียจรังงอนเพศที่สาม
        การที่เราจะเลือกว่าเราจะทำตัวแบบไหน อย่างไร มันคือ “เสรีภาพ” อย่างหนึ่ง ที่เรามีอยู่ ใครจะห้ามเราไม่ได้ คนอื่นต้องเคารพในเสรีภาพของเรา ในขณะเดียวกันเราก็จะต้องเคารพในเสรีภาพของคนอื่นด้วย เช่นกัน
        เราสามารถเลือกเพศที่เราจะแสดงออกได้แบบอิสระ หรือเพศของเราสามารถลื่นไหลไปตามรสนิยมได้ มันคือตัวเราที่จะเป็น จะมี จะได้ คนอื่นไม่มีสิทธิ์มาเสร่อยุ่งกับตัวเรา
        วันนี้เราเป็นผู้ชาย อีกวันหนึ่งเราอาจจะเป็นเกย์ กระตุ้งกระติ้งตามเพื่อน เกิดวันข้างหน้าเบื่อเข้า กลับมาเป็นผู้ชาย ก็ได้
        แล้วเรื่องที่จะคบ จะเอากัน ไม่ใช่ว่าจะต้องขีดกรอบว่าเกย์ต้องคบเกย์ เลสเบี้ยนต้องคบเลสเบี้ยนเท่านั้น เราจะคบหาดูใจแบบข้ามห้วยกันก็ได้ แบบว่า เกย์กับเลสเบี้ยน ก็มี
        โรงเรียนของผมก็จะเห็นเกย์กับเลสเบี้ยน เดินควงกันหลายคู่ เป็นเรื่องปกติ เพราะในสังคมระดับสถานศึกษา ซึ่งแน่นอนว่าวัยรุ่นจะมีแนวคิดใหม่ ๆ ทันโลก จะมีการยอมรับเรื่องเพศที่สามกันมากขึ้น ด้านการแสดงออกต่าง ๆ มีศักยภาพที่สามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีอนาคตได้
        สิ่งที่ยังต้องทำต่อไป สำหรับเพศที่สาม ก็คือ จะต้องเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ ที่พึงมีพึงได้ของเพศที่สามให้มากขึ้น ให้มีกฎหมายรองรับการแต่งงานของคนเพศ (สภาพ) เดียวกัน และไม่จำเป็นว่าแต่งงานแล้วจะต้องมีลูก หาลูก ซึ่งมันเป็นกรอบของระบบครอบครัว ความจริงเรายังมีประเด็นที่ต้องต่อสู้กันอีกเยอะแยะ เช่น ประเด็นด้านกฎหมายต่าง ๆ ที่มีข้อจำกัดสำหรับคนเหล่านี้ เป็นต้น

        สรุป คือ เราไม่ควรที่จะดูถูกเพศที่สามในแง่ประเด็นใด ๆ ก็ตาม เพราะเพศที่สามก็เป็น “คน” เหมือนกัน และอาจจะมีศักยภาพในด้านต่าง ๆ ที่เยี่ยมยอดกว่าเราก็เป็นได้ เขาเหล่านี้มีสิทธิเสรีภาพที่จะทำงานทำการต่าง ๆ ได้ จะเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้
        เราไม่ควรที่จะโจมตีพวกเขาในเรื่องของเพศที่เป็น แต่ควรที่จะเล่นกันในเรื่องความสามารถ ว่าดี ด้อย อะไรอย่างไร มากกว่าครับ
        ถ้าเป็นไปได้ จะหาเวลากลางค่ำกลางคืน ดักตีหัวสลิ่มที่มีความคิดวิปริต สักทีสองที เผื่อความจำเสื่อมแล้ว ความคิดและค่านิยมที่ยอมรับความเป็นมนุษย์ ความเป็นจริงของโลกจะเข้ามาสิงสู่แทนความคิดอัปลักษณ์บ้า ๆ บอ ๆ ก็ยอม

        ถ้าเกิดว่าผมอกหักจากผู้หญิงคนที่คบอยู่สักที
        จะไปเป็น “เกย์” แล้วทีนี้ !!
        ล้อเล่น...

12 พฤศจิกายน 2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น